Blog_my friendห้อง2
- 01 ฉัตริน
- 02 ณัฐภัทร
- 03 ธนพล
- 04 ธีรศักดิ์
- 05 ปวิณ
- 06 ภัทร
- 07 วสุพล
- 08 ธรรศกร
- 09 กชกร
- 10 จันทร์จิรา
- 11 จินดาพร
- 12 ชลวรรณ
- 13 ช่อผกา
- 14 ณภัทร์กมล
- 15 ณัฐฐาภรณ์
- 16 ธนิดา
- 17 ธัญวรัตม์
- 18 นฤมล
- 19 นัทธมน
- 20 นันทกานต์
- 21 นารีรัตน์
- 22 ประภัสสร
- 23 ประภัสสร
- 24 ปาลิตา
- 25 พรพิมล
- 26 พัชรี
- 27 พิมพ์ชนก
- 29 มนัสวี
- 30 มีกรุณา
- 31 วรีวรรณ
- 32 ศิรประภา
- 33 ศุราภรณ์
- 34 สุรารักษ์
- 35 สุวิชชา
- 36 อธิชา
- 37 นุสรา
- 38 วิลาวัณย์
- 39 ญาณิศา
- 40 ณัฐวดี
- 41 ปาริชาติ
- 42 สกาวรัตน์
- 43 อนนทภัทร
- ขนิษฐา
- ญาดา
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้งานก็เยอะมาก แต่ไม่ค่อยเหมือนเมื่อวาน เพราะงานบางอย่างเสร็จหมดแล้วแต่วันนี้รู้สึกว่าท้องฟ้าจะไม่เป็นใจให้ดิฉันเรียนพิเศษเนื่องจากตอนที่อยู่โรงเรียนท้องฟ้าสว่างสดใส ไม่มีความว่าจะฝนตกเลย แต่พอดิฉันไปซื้อของที่7-Elevenฝนกลับตกลงมา ตกแบบว่าหนักมากๆ เป็นเม็ดใหญ่ด้วยตกประมาณ 45 นาทีแล้วก็หยุดตกซักพักหนึ่งฝนก็ตกมาอีก ดิฉันคิดว่า ถ้าเราไม่เดินไปฝนก็คงจะลงมาหนักอีก ดิฉันกับเพื่อนตัดสินใจเดินตากฝนไปเรียน ตอนแรกไม่รู้สึกหนาวเลยแต่พอเข้าห้องเรียนกลับหนาวมากๆ
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร
4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง
5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง
ไข่ฟองกลมๆ จะช่วยรักษารูปร่างเพื่อนๆให้ดีหรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเพื่อนๆกันแน่
การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง
"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร
4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง
5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง
ไข่ฟองกลมๆ จะช่วยรักษารูปร่างเพื่อนๆให้ดีหรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเพื่อนๆกันแน่
การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง
"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/
Diary online
วันนี้เป็นวันที่ยุ่งอีกวันหนึ่ง เพราะเมื่อวานเข้าอบรมค่ายคณิตศาสตร์ทำให้มีเวลามีจะทำงานเพียงวันเดียว การบ้านก็แสนจะเยอะมากมายไม่ใช่ว่าดิฉันไม่ทำ ดิฉันทำงานส่งคุณครูอย่างสม่ำเสมอ แต่ดิฉันคิดว่านี้ก็ใกล้ที่จะสอบปลายภาคแล้ว งานบางงานที่คุณครูยังไม่ได้สั่งคุณครูก็ส่งเพื่อให้เป็นไปตามหลักสูตรที่เรียนและเก็บคะแนนให้ครบ ดิฉันได้ยินได้ฟังจากรุ่นพี่ว่า เมื่อตอนอยู่ม.ต้นว่าการบ้านเยอะแล้วพอมาตอนม.ปลายการบ้านก็มากกว่าหลายเท่าตัว ถ้าคนที่ขยันอยู่แล้วก็คงจะไม่ลำบากมากนักแต่สำหรับคนที่ยังนิ่งเฉย ไม่กระตือรืนร้นพอมาอยู่ม.ปลายก็จะลำบาก ต้องขยันเพิ่มขึ้นถ้าไม่ขยันเพิ่มอาจจะเรียนไม่ทันเพื่อนก็ได้ หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ การลาออกเนื่องจากเรียนติด 0แล้วแก้ไม่ผ่าน แต่อย่างไรเสียการเรียนไม่ใช่ความสำเร็จทั้งหมด ความสำเร็จมันขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสที่ดีที่เข้ามาหา ดังนั้นถ้าใครอยากได้รับโอกาสที่ดีเข้ามาเร็วๆก็ควรที่จะดั้งใจเรียนเสียก่อนเรื่องอื่น
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้ดิฉันได้รับเลือกให้เข้าโครงการอัจฉริยภาพ"ค่ายคณิตศาสตร์"เป็นโครงการของจังหวัดที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมนักเรียนในจังหวัดเพชรบุรีให้มีความสารารถด้านคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้น ตอนแรกดิฉันคิดว่าจะไม่ลงเข้าอบรมเพราะดิฉันคิดว่ามันเสียเวลที่จะทำการบ้าน เนื่องจากการบ้านมีเยอะมากๆ แต่พอดิฉันมาคิดไตร่ตรองหาข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบของการเข้าอบรมในครั้งนี้ ดิฉันได้ข้อสรุปว่า การเข้าค่ายได้รับประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แต่การบ้านเราไม่ได้ส่งวันจันทร์ทั้งหมดเพราะฉะนั้นเราจะมีเวลาในการทำการบ้านอีกนิดหน่อย ในการเข้าค่ายนี้ดิฉันกับเพื่อนไม่ได้เข้าเฉพาะโรงเรียนเบญจมฯเพียงโรงเรียนเดียวแต่มีโรงเรียนที่มาเข้าอีกรวมทั้งหมดประมาณ 19 โรงเรียน การเข้าค่ายในครั้งนี้สนุกมากๆเพราะมีกิจกรรมที่ส่งเสริมความรู้ในด้านคณิตศาสตร์ เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับโจทย์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้สูตร แต่อาศัยความเข้าใจและกิจกรรมตามฐานต่างๆเป็นเวลาที่อบรมทั้งหมด 1 วัน ตอนกลับบ้านคุณครูก็มีความเมตตาไปส่งที่คิวรถด้วย การมาเข้าอบรมนอกจากเราจะได้ความรู้แล้วเรายังได้ความสนุกอีกด้วย
สาระน่ารู้
การจัดสัตว์ 10 อันดับสำหรับสัตว์ที่อายุยืนที่สุดในโลก
สัตว์อายุยืนอันดับ 10 คือ “ลิง” ญาติห่างๆ ของมนุษย์ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลิงจะมีอายุเฉลี่ย 25 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 9 คือ “ช้าง” ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 60 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับการดูแล อาหารการกินและความเครียด ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบอายุขัยระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกาแล้ว พบว่า ช้างแอฟริกาที่ต้องผจญกับสัตว์ป่านานาชนิดและอาหารการกินที่ขัดสนกว่า ทำให้พวกมันเครียดและมีอายุขัยน้อยกว่าช้างเอเชีย มีบันทึกว่าประเทศญี่ปุ่นเคยมีช้างที่มีอายุมากที่สุดในโลกคือ 86 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 8 คือ สัตว์ที่ไม่มีใครอยากให้มันมีชีวิตที่ยืนยาวนักเพราะมันมักได้รับบทตัวร้ายในละครเสมอๆ นั่นคือ “อีกา” ด้วยเหตุผลที่อีกาจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดอายุขัย ทำให้มันไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้การสืบพันธุ์ยังเป็นตัวเร่ง นาฬิกาชีวภาพให้หมุนเร็วขึ้นด้วย อีกาจึงมีอายุขัยสูงถึง 90 ปี ซึ่งพบอีกว่า นกหลายๆ ชนิดก็มีอายุที่ยืนยาวไม่ต่างจากอีกามากนัก เช่น นกกระตั้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 7 คือ “กุ้งก้ามกราม” ด้วยอายุขัย 100 ปี ถือว่าอายุยืนที่สุดในสัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่มันมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานน้อย
สัตว์อายุยืนอันดับ 6 คือ “หอยมุกน้ำจืด” ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เผาผลาญพลังงานน้อย กินน้อย ใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจน้อย ทำให้มันมีอายุขัยมากกว่า 110 ปี
สำหรับ “มนุษย์” ถือได้ว่ามีอายุยืนในอันดับกลางๆ ไม่มากหรือน้อยเกืนไปคืออยู่ในอันดับ 5 โดยมีอายุขัยสูงสุด 120 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่จารึกไว้ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์และฮินดูที่ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยได้ไม่เกิน 120 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะหลังมานี้ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุทะลุ 100 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับการมีอายุยืนของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายล้วนระบุตรงกันถึง การบริโภคอย่างพอดี การออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และมีทัศนคติที่ดี
สัตว์อายุยืนอันดับ 4 คือ ปลาโบราณร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่มีไข่ที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลก นั่นคือ “ปลาสเตอร์เจียน” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า มันสามารถมีอายุได้สูงถึง 150 ปี โดยคาดกันว่าน่าจะเป็นผลมาจากยีนอายุยืนที่พิสูจน์แล้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 3 คือ “พี่เบิ้ม” สิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นคือ “ปลาวาฬในทวีปแอนตาร์กติก” ด้วยอายุขัย 200 ปี
สิ่งมีชีวิตอายุยืนอันดับ 2 คือ “เต่า” ที่มีอายุขัยประมาณ 250 ปี โดยเต่าที่มีอายุยืนที่สุดในโลกขณะนี้คือ "เต่ากาลาปากอส"ที่มีชื่อว่า “แฮเรียน” ตัวเดียวกันกับที่ “ชาร์ลส ดาร์วิน” นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องจับมันมาใช้ชีวิตเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน โดย ชาร์ลส เองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีอายุยืนกว่าเขาเองเสียอีก โดยสาเหตุที่เชื่อว่าเต่ามีอายุยืนยาวสืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวเนิบช้า และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ของมันนั่นเอง
แตน แต๊น!!! สำหรับสิ่งมีชีวิตอายุยืนที่สุดในโลกอันดับที่ 1 จะเป็นของใครไปไม่ได้เลยนอกจาก สิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตดำดิ่งอยู่ ก้นมหาสมุทรอันมืดมิดด้วยอุณหภูมิเย็นเฉียบ มันคือ “ฟองน้ำยักษ์” ซึ่งมีอายุสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10,000 ปี หรืออาจกล่าวว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตายก็ได้ และเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ฟองน้ำยักษ์มีอายุยืนที่สุดในโลก หลายคนอาจเบนหน้าหนีด้วยที่ว่ามันแทบไม่กิน และไม่กระดุกระดิกเลย จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับแซวมันว่า หากมนุษย์ต้องการที่จะมีอายุยืนแต่ต้องอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ไม่กินอาหาร และอยู่นิ่งๆ เหมือนโดนสต๊าฟไว้แล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอายุยืนเหมือนมันอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเคล็ดลับการมีอายุยืนว่า น่าจะเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตที่สงบเงียบ ความใจเย็น การมีกำลังใจ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม ระบบภูมิคุ้มกันโรคที่มีประสิทธิภาพอันเป็นผลมาจากพันธุกรรม การไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และการเผาผลาญพลังงานของร่างกายที่น้อย นอกจากนี้ ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งที่พวกเขาค้นพบคือ อายุขัยอาจไม่ได้ถูกกำหนดด้วยจำนวนวันที่เรามีชีวิตอยู่ก็ได้ หากแต่เป็นอัตราส่วนการใช้พลังงานต่อน้ำหนักหนึ่งกรัม ซึ่งหากเรามองในแง่นี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตจะมีอายุเท่ากันทุกสายพันธุ์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://pil.numplus.com/ityouth2009/frontpage/2/page/bs_bk_02.htm
สัตว์อายุยืนอันดับ 10 คือ “ลิง” ญาติห่างๆ ของมนุษย์ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลิงจะมีอายุเฉลี่ย 25 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 9 คือ “ช้าง” ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 60 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับการดูแล อาหารการกินและความเครียด ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบอายุขัยระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกาแล้ว พบว่า ช้างแอฟริกาที่ต้องผจญกับสัตว์ป่านานาชนิดและอาหารการกินที่ขัดสนกว่า ทำให้พวกมันเครียดและมีอายุขัยน้อยกว่าช้างเอเชีย มีบันทึกว่าประเทศญี่ปุ่นเคยมีช้างที่มีอายุมากที่สุดในโลกคือ 86 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 8 คือ สัตว์ที่ไม่มีใครอยากให้มันมีชีวิตที่ยืนยาวนักเพราะมันมักได้รับบทตัวร้ายในละครเสมอๆ นั่นคือ “อีกา” ด้วยเหตุผลที่อีกาจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดอายุขัย ทำให้มันไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้การสืบพันธุ์ยังเป็นตัวเร่ง นาฬิกาชีวภาพให้หมุนเร็วขึ้นด้วย อีกาจึงมีอายุขัยสูงถึง 90 ปี ซึ่งพบอีกว่า นกหลายๆ ชนิดก็มีอายุที่ยืนยาวไม่ต่างจากอีกามากนัก เช่น นกกระตั้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 7 คือ “กุ้งก้ามกราม” ด้วยอายุขัย 100 ปี ถือว่าอายุยืนที่สุดในสัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่มันมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานน้อย
สัตว์อายุยืนอันดับ 6 คือ “หอยมุกน้ำจืด” ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เผาผลาญพลังงานน้อย กินน้อย ใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจน้อย ทำให้มันมีอายุขัยมากกว่า 110 ปี
สำหรับ “มนุษย์” ถือได้ว่ามีอายุยืนในอันดับกลางๆ ไม่มากหรือน้อยเกืนไปคืออยู่ในอันดับ 5 โดยมีอายุขัยสูงสุด 120 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่จารึกไว้ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์และฮินดูที่ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยได้ไม่เกิน 120 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะหลังมานี้ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุทะลุ 100 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับการมีอายุยืนของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายล้วนระบุตรงกันถึง การบริโภคอย่างพอดี การออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และมีทัศนคติที่ดี
สัตว์อายุยืนอันดับ 4 คือ ปลาโบราณร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่มีไข่ที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลก นั่นคือ “ปลาสเตอร์เจียน” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า มันสามารถมีอายุได้สูงถึง 150 ปี โดยคาดกันว่าน่าจะเป็นผลมาจากยีนอายุยืนที่พิสูจน์แล้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 3 คือ “พี่เบิ้ม” สิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นคือ “ปลาวาฬในทวีปแอนตาร์กติก” ด้วยอายุขัย 200 ปี
สิ่งมีชีวิตอายุยืนอันดับ 2 คือ “เต่า” ที่มีอายุขัยประมาณ 250 ปี โดยเต่าที่มีอายุยืนที่สุดในโลกขณะนี้คือ "เต่ากาลาปากอส"ที่มีชื่อว่า “แฮเรียน” ตัวเดียวกันกับที่ “ชาร์ลส ดาร์วิน” นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องจับมันมาใช้ชีวิตเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน โดย ชาร์ลส เองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีอายุยืนกว่าเขาเองเสียอีก โดยสาเหตุที่เชื่อว่าเต่ามีอายุยืนยาวสืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวเนิบช้า และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ของมันนั่นเอง
แตน แต๊น!!! สำหรับสิ่งมีชีวิตอายุยืนที่สุดในโลกอันดับที่ 1 จะเป็นของใครไปไม่ได้เลยนอกจาก สิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตดำดิ่งอยู่ ก้นมหาสมุทรอันมืดมิดด้วยอุณหภูมิเย็นเฉียบ มันคือ “ฟองน้ำยักษ์” ซึ่งมีอายุสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10,000 ปี หรืออาจกล่าวว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตายก็ได้ และเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ฟองน้ำยักษ์มีอายุยืนที่สุดในโลก หลายคนอาจเบนหน้าหนีด้วยที่ว่ามันแทบไม่กิน และไม่กระดุกระดิกเลย จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับแซวมันว่า หากมนุษย์ต้องการที่จะมีอายุยืนแต่ต้องอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ไม่กินอาหาร และอยู่นิ่งๆ เหมือนโดนสต๊าฟไว้แล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอายุยืนเหมือนมันอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเคล็ดลับการมีอายุยืนว่า น่าจะเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตที่สงบเงียบ ความใจเย็น การมีกำลังใจ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม ระบบภูมิคุ้มกันโรคที่มีประสิทธิภาพอันเป็นผลมาจากพันธุกรรม การไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และการเผาผลาญพลังงานของร่างกายที่น้อย นอกจากนี้ ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งที่พวกเขาค้นพบคือ อายุขัยอาจไม่ได้ถูกกำหนดด้วยจำนวนวันที่เรามีชีวิตอยู่ก็ได้ หากแต่เป็นอัตราส่วนการใช้พลังงานต่อน้ำหนักหนึ่งกรัม ซึ่งหากเรามองในแง่นี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตจะมีอายุเท่ากันทุกสายพันธุ์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://pil.numplus.com/ityouth2009/frontpage/2/page/bs_bk_02.htm
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
เคล็ดลับง่ายๆ ของการกินอาหารเพื่อสุขภาพมาดูกันว่ามีเคล็ดลับดีๆ อะไรที่จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง
1.กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเราทำให้อาการเมาหายไปได้
2.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในฝรั่งมีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3.มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย
4.การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
5.การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในเนยมีกรดอมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสะกดให้หลับได้สนิทขึ้น
6.กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่ เพียงพอช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
7.การกินช็อกโกแลตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะโกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
8.การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะการที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารที่มี จำเป็นอยู่มากอีกด้วย
9.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะเลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารที่ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อมลง
มีเคล็ดลับดีๆ แล้วก็อย่าลืมเอาไปใช้กันนะเพื่อนๆเพื่อสุขภาพที่ดีของเพื่อนๆ
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16982/%E0%B9%81%E0%B8%89-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99...%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2.htm
1.กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเราทำให้อาการเมาหายไปได้
2.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในฝรั่งมีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3.มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย
4.การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
5.การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในเนยมีกรดอมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสะกดให้หลับได้สนิทขึ้น
6.กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่ เพียงพอช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
7.การกินช็อกโกแลตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะโกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
8.การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะการที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารที่มี จำเป็นอยู่มากอีกด้วย
9.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะเลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารที่ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อมลง
มีเคล็ดลับดีๆ แล้วก็อย่าลืมเอาไปใช้กันนะเพื่อนๆเพื่อสุขภาพที่ดีของเพื่อนๆ
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16982/%E0%B9%81%E0%B8%89-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99...%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2.htm
Diary online
วันนี้ก็เป็นเหมือนเดิม มีชีวิตที่รีบเร่งต้องแข่งขันกับเวลาและตนเอง วันนี้มีการสอบด้วยในตอนแรกนึกว่ามีสอบทั้งหมด 3 วิชาคือ คณิตศาสตร์ ภาษาไทยและเคมี แต่พอมาถึงโรงเรียนกลับพบว่าวิชาที่สอบวันนี้มีแค่วิชาเดียวคือ คณิตศาสตร์เรื่องสมการ ช่วง เซตคำตอบของอสมการ ในตอนที่สอบมีข้อสอบที่ต้องทำจำนวน 3 หน้า เห็นตอนแรกก็ตกใจมากแต่พอลงมือทำกลับไม่ยากอย่างที่คิดเพราะดิฉัน เข้าใจในบทเรียนตอนที่เรียนในห้องเรียน วันนี้ดิฉันจับกลุ่มพูดคุยกับเพื่อนประมาน 6 คน เพื่อนๆบอกว่าวันนี้เพื่อนในห้องคุยกัยเสียงดังมาก รู้สึกว่าไม่เกรงใจคุณครูเลย ในตอนแรกที่เจอหน้าคุณครูเพื่อนๆให้ความเคารพอย่างมากแต่พอคุณครูท่านใจดี เพื่อนก็ไม่ให้ความเกรงใจ มีหลายครั้งที่คุณครูบอกกล่าวตักเตือนเพื่อนๆก็จะเงียบ พอถึงคาบเรียนหน้าก็จะประพฤติเหมือนเดิม ดิฉันมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่า คนเราทุกคนควรประพฤติตนเสมอต้น เสมอปลายและก็จะเป็นที่รักของครูบาอาจารย์รวมถึงผู้ใหญ่ท่านอื่นๆด้วย
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
เพื่อนๆเคยเจออาการแบบนี้บ้างไหม เช่น คุยโทรศัพท์นานๆ แล้วรู้สึกหูของตัวเองร้อนหรือมีเลือดผสมหนองไหลออกมาจากหู ถ้าเพื่อนๆมีอาการแบบนี้ก็อ่านสาเหตุของการเกิดได้ที่นี้เลย
มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคันซึ่งเมื่อเพื่อนๆ แคะหรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้
*วิธีป้องกัน
ถ้าเพื่อนๆรู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค
หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น เพื่อนๆรู้กันรึเปล่าว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหูและการอักแสบในช่องหูได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ
อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึง ต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆจะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยเพื่อนๆจะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุได้
เพื่อนๆเห็นไหมว่า สิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรานั้นสามารถทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเองแล้วเพื่อนๆจึงควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ , เครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 ฯลฯ ให้เหมาะสมไม่มากจนเกินไป
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16973/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B0.....htm
มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคันซึ่งเมื่อเพื่อนๆ แคะหรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้
*วิธีป้องกัน
ถ้าเพื่อนๆรู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค
หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น เพื่อนๆรู้กันรึเปล่าว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหูและการอักแสบในช่องหูได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ
อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึง ต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆจะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยเพื่อนๆจะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุได้
เพื่อนๆเห็นไหมว่า สิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรานั้นสามารถทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเองแล้วเพื่อนๆจึงควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ , เครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 ฯลฯ ให้เหมาะสมไม่มากจนเกินไป
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16973/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B0.....htm
Diary online
วันนี้ก็เหมือนทุกวันที่ผ่านมา ชีวิตก็มีแต่การสอบเช่นเดียวในตอนนี้เพราะดิฉันเป็นนักเรียนนอกจากเรียนแล้วก็ต้องมีการทดสอบวัดความรู้วันนี้ที่มีการสอบฟิสิกส์อีกตามเคย คุณครูบอกว่า่ เจอหน้ากันเมื่อใดก็จะสอบทุกครั้งเพราะจะได้มีคะแนนมากมายและจะนำคะแนนที่ได้มาหาร ผลมันก็จะดีแต่ดิฉันก็ไม่เข้าใจว่า ผลที่ได้มันจะดีตรงไหนถ้าคนสอบไม่มีความพร้อมในการสอบ ไม่ว่าจะสอบกี่ครั้งคะแนนมันก็ได้เท่าเดิม ในวันนี้ดิฉันได้รู้คะแนนที่สอบไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานหรือเพิ่มเติม จากการรวมคะแนนทั้งที่ยังไม่ได้หารทั้งพื้นฐานและเพิ่มเติมพบว่าดิฉันมีคะแนนวิชาฟิสิกส์ทั้งหมด 51คะแนนจาก 90 คะแนนและคนที่ได้คะแนนสูงสุดในห้องได้คะแนนทั้งหมด 63 คะแนนจากทั้งหมด ดิฉันได้ฟังคุณครูบอกว่า ห้องของดิฉันจะเสียเปรียบห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องโครงการฯเพราะห้องของดิฉันจะเรียนพื้นฐานและเพิ่มเติมควบคู่กันไป ส่วนห้องอื่นจะเรียนเฉพาะพื้นฐานเท่านั้นทำให้คะแนนที่ได้ของห้องอื่นดีกว่าห้องของดิฉันแต่เมื่อคุณครูอธิบายดิฉันก็คลายความกังวลคือ เราจะเสียเปรียบห้องอื่นในตอนนี้ แต่เราจะได้เปรียบห้องอื่นในตอนที่เราเข้ามหาวิทยาลัยเพราะเนื้อหาที่เราเรียนมันลึกกว่าห้องอื่น และเกณฑ์การตัดเกรดจะใช้เกรดเดียวกันคะแนนที่ได้ก็จะดีขึ้น ดิฉันคิดทบทวนว่่าเทอมนี้ดิฉัันคงไม่ได้เกรด 4 อย่างแน่นอนแต่ในใจลึกๆดิฉันก็มีความหวังเหมือนกันว่าจะได้เกรด 4 จากที่เราตัดกำลังใจก่อนสิ่งนั้นจะเกิด มันก็จะทำให้เรารู้สึกท้อแท้ ดังนั้นดิฉันอยากให้คนที่รู้สึกท้อแท้ฮึดสู้และมีกำลังใจเพื่อที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้ก็เป็นวันที่ดิฉันกลับมาจากโรงเรียน เนื่องจากในวันที่4กันยายน - 5 กันยายน 2552ทางระดับชั้นม.4 ได้จัดกิจกรรมเข้าค่ายพุทธบุตร เป็นเวลา2วันกับอีก1คืน ในตอนแรกดิฉันคิดว่า การเข้าพุทธบุตรคงน่าจะเบื่อ ไม่สนุก แต่พอได้เข้าอบรมทำให้ดิฉันมีความสุขจนไม่อยากจะกลับบ้านเลย เพราะพระอาจารย์ที่มาเป็นวิทยากรสอนและอบรมได้สนุกๆโดยเฉพาะพระอาจารย์โตโต้ ท่านมีการสอนที่สอดแทรกความสนุกอยู่ด้วย ในการอบรมครั้งนี้ทำให้ดิฉันตระหนักเกิดการเกรงกลัวต่อบาป เพราะพระอาจารย์ได้สอนและเปิดเรื่องกฏแห่งกรรมให้ดิฉันดู ดิฉันกลัวจนร้องไห้ เพราะในเรื่องของกฏแห่งกรรมจะบอกว่าใครทำสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้นเป็นการตอบแทนเช่น ถ้าใครดื่มน้ำเมา เวลาตกนรกไปจะถูกเอาน้ำกรดที่ร้อนๆมากรอกปากแล้วน้ำกรดนั้นจะทำให้ร่างกายพุพอง เผาไหม้ร่างกายและหลังจากนั้นก็จะมีร่างกายกลับมาเป็นอย่างเดิมจนถูกกระทะไปอย่างนี้จนกว่าจะสิ้นบุญและทำให้ดิฉันรู้ว่าใครที่ตกกะทะทองแดงไปจะวนเวียนอยู่ในกะทะ ในการที่จะวน กะทะให้ครบ 1 รอบจะใช้เวลาประมาณ 30,000 ปีเมื่อเวลาผ่านคนที่อยู่ในกะทะทองแดงจะถูกนำมาดูว่าหมดกรรมหรือยัง ถ้าหมดแล้วก็จะถูกนำไปอีกภพหนึ่งแต่ถ้ายังไม่หมดจะต้องไปอยู่ในกะทะทองแดงดังเดิมจนกว่าจะหมดกรรม ตอนเวลาประมาณ 19.00 น.ดิฉันได้ถูกเรียกให้ไปส่งเสด็จพระราชินีหลังจากรับเสด็จตอน 17.00 น. ในครั้งแรกที่รับเสด็จดิฉันมองเห็นท่านไม่ค่อยชัดแต่พอเวลาส่งเสด็จท่านดิฉันมองเห็นท่านอย่างชัดเจน ท่านโบกมือและหันมายิ้มด้วยท่านสวยมาก สวยกว่าใน TVเสียอีกในตอนนั้นดิฉันทำอะไรไม่ถูกเลยนอกจากยิ้มและยกเทียนให้แสงสว่าง ดิฉันรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เพื่อนๆพูดว่า "ทรงพระเจริญ"ดิฉันพูดตามเพื่อนแล้้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างปลื้มปิติที่มีบุญได้เห็นท่าน หลังจากส่งเสด็จดิฉันก็ขึ้นไปฟังการบรรยายธรรมะต่อ ดิฉันรู้สึกว่าในการอบรมครั้งนี้ไม่ใช่แค่สอนเรื่องกฏแห่งกรรมเท่านั้นแต่ยังเป็นการสอนให้เรารู้จักบุญคุณของพ่อแม่โดยพระอาจารย์ท่านจะเปิดเพลงและให้เราร้องตาม ในตอนแรดดิฉันก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอคิดถึงพระคุณของพ่อแม่ดิฉันก็ร้องไห้จนตาบวมแล้ว ดิฉันรู้สึกดีใจที่พ่อแม่ของดิฉันยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเราควรทำดีกับท่าน และผลดีแล้วก็จะสนองเราเอง ในตอนก่อนที่จะกลับบ้านพระอาจารย์ก็ให้ดิฉันจับมือกับเพื่อนๆ ในตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าพอมาจับกันเป็นกลุ่มใหญ่เป็นเพื่อนห้อง 9เดิมความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นคือ ความคิดถึง ความทรงจำที่ดีๆมันก็เกิด ทำให้ดิฉันร้องไห้อีกครั้ง ในการมาเข้าค่ายพุทธบุตรครั้งนี้ดิฉันได้สิ่งต่างๆกลับมามากมาย ถ้าดิฉันมีโอกาสอีก ดิฉันอยากจะมาเข้าค่ายพุทธบุตรอีกครั้ง
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
อ่านหนังสืออย่างไรให้จำแม่น
โดยเคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่ายๆ นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับวิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ
1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้
8.1 ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
8.2 ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ
เคล็ดลับ การเรียนเก่ง
1. คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนเช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกันให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือเพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยมและจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดี
2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1-2 ชม.ก็เกินพอแต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างหนึ่งแล้ว ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุด
3. ที่ว่า 1-2ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรเช่นจะอ่านวันละ 2ชม.แต่แบ่งเป็น 4 ยกครั้งละ 25-30นาที
และพัก 5- 10 นาที
4. อ่านจบวันหนึ่ง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะสรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร
5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดี
ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาเช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้างเช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่าwhere do you go? อะไรเป็นต้นแล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาอังกฤษยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งทีก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ
7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกล
แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยจากนั้นให้รีบหาแบบฝึกหัดมาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อนจากนั้นค่อยเสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มหนึ่งมาอ่านเนื้อหาให้หมดอีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด สำคัญคือความตั้งใจต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้วทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิดสุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่าต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้นมองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิดขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมาในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบทเช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกิน
จากนั้นทิ้งตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลย
8.สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวง เด็กสมัยใหม่นี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิกนั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเรา เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนามุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไรต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ ดังนั้น จากข้อ 7 เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้วให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมองโดยทำดังต่อไปนี้
ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้งจนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิกทำ ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์
9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ คือกระบวนการสอบแข่งขัน
ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเองเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่าก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้ซัก 1-2 ปี รู้ผลแน่ รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้นแน่นอน อันดับระดับประเทศก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก
อ้อ ลืมบอกไป สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด
ขอขอบคุณสาระดีๆจากhttp://blog.eduzones.com/diaw30/22324
โดยเคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่ายๆ นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับวิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ
1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้
8.1 ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
8.2 ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ
เคล็ดลับ การเรียนเก่ง
1. คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนเช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกันให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือเพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยมและจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดี
2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1-2 ชม.ก็เกินพอแต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างหนึ่งแล้ว ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุด
3. ที่ว่า 1-2ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรเช่นจะอ่านวันละ 2ชม.แต่แบ่งเป็น 4 ยกครั้งละ 25-30นาที
และพัก 5- 10 นาที
4. อ่านจบวันหนึ่ง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะสรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร
5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดี
ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาเช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้างเช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่าwhere do you go? อะไรเป็นต้นแล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาอังกฤษยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งทีก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ
7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกล
แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยจากนั้นให้รีบหาแบบฝึกหัดมาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อนจากนั้นค่อยเสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มหนึ่งมาอ่านเนื้อหาให้หมดอีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด สำคัญคือความตั้งใจต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้วทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิดสุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่าต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้นมองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิดขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมาในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบทเช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกิน
จากนั้นทิ้งตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลย
8.สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวง เด็กสมัยใหม่นี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิกนั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเรา เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนามุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไรต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ ดังนั้น จากข้อ 7 เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้วให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมองโดยทำดังต่อไปนี้
ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้งจนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิกทำ ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์
9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ คือกระบวนการสอบแข่งขัน
ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเองเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่าก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้ซัก 1-2 ปี รู้ผลแน่ รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้นแน่นอน อันดับระดับประเทศก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก
อ้อ ลืมบอกไป สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด
ขอขอบคุณสาระดีๆจากhttp://blog.eduzones.com/diaw30/22324
งานภาษาไทย
หยกมักจะย้อนคิดถึงวัยเด็กที่มีเพียงเขาและ ก๋ง ทุกครั้งก๋งเป็นช่างฝีมือ ประกอบอาชีพหลักคืองานจักรสาน เป็นวิชาที่ติดตัวมาจากเมืองจีนความคิดอ่านที่กว้างไกลและความเมตตาของก๋ง ทำให้ก๋งได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนมากมายในชุมชนห้องแถวที่อาศัยอยู่ ซึ่งผลบุญนี้ได้ตกมาถึงหยก หยกเติบโตอย่างอบอุ่นภายใต้การเลี้ยงดูของก๋ง การที่เขามีก๋งคอยให้ความรักกับเขาอย่างแท้จริงที่ทำให้เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว ชุมชนห้องแถวที่ก๋งและหยกอาศัยอยู่เป็นแหล่งรวมคนจีนมากหน้า เพื่อนบ้านที่สนิทกันอยู่ก็คือ เง็กจูซึ่งเป็นที่ยึดติดกับธรรมเนียมจีนอย่างเหนียวแน่น และไม่ค่อยยอมรับความเปลี่ยนแปลง เง็กจูมีลูกชายคือ เพ้ง และลูกสาวคือเกียหลายครั้งที่เง็กจูมีปัญหากับลูก ก๋งจะเป็นคนคอยแก้ปัญหาให้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เกียวแหกประเพณีเดิมของผู้หญิงจีน หนีไปเรียนภาคค่ำหรือตอนที่เพ้งรับ นวล ภรรยาคนไทยเข้าบ้าน จนเง็กจูขู่จะฆ่าตัวตาย ก๋งเป็นคนชี้ทางสว่างให้เง็กจูเห็นและยอมปรับทัศนคติเพื่ออยู่ร่วมกับลูกหลานในโลกปัจจุบันให้ได้ หรือแม้แต่คนไทยบางคนที่มาเช่าบ้านอยู่ในชุมชนจีนนี้ ก๋งก็เป็นคนจีนคนเดียวที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ขณะที่คนจีนคนอื่นๆ ตั้งแง่รังเกียจ หาญ กับจำเรียง หนุ่มสาวที่วิวาห์เหาะมาจากกรุงเทพฯ
ชีวิตของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาอยู่อาศัยบนแผ่นดินไทย ให้แผ่นดินไทยเป็นที่อยู่ ที่ทำมาหากินและบ้างก็ให้เป็นที่ฝังกลบคราสิ้นชีวิต ซึ่งคนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า " คนจีนชีวิตของก๋งบนแผ่นดินไทย คือชีวิตของชายชราผู้หนึ่งที่พลัดจากบ้านเกิดเมืองนอนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ไทย ก๋งเป็นคนจีนแท้ที่จากเมืองจีนตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แม้ก๋งจะเป็นคนจีนแต่ก๋งก็ปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองไทยคือเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายไทย รักแผ่นดินไทย เข้าใจคนไทย เทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ไทย และก๋งไม่เคยที่จะลืมขนบธรรมเนียมประเพณี พร้อมทั้งกฎแห่งกรรมตามความเชื่อประเพณีเก่าของจีน อีกทั้งก๋งยังเป็นบุคคลตัวอย่าง คือเป็นคนที่สามารถสงวนวัฒนธรรมดั้งเดิมอันเป็นสิ่งที่ดีงามของประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองไว้ นอกจากนั้นยังยอมรับวัฒนธรรมไทยซึ่งเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่ไม่ขัดกับวัฒนธรรมเดิมของก๋งได้ ตัวอย่างหนึ่งที่จะยืนยันถึงการยอมรับวัฒนธรรมของก๋งคือ "ธรรมเนียมมันเกิดเพราะคนเป็นผู้กำหนดไม่ใช่หรือ เมื่อกำหนดขึ้นมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปได้ และอย่าลืมว่าธรรมเนียมของคนแต่ละชาติแต่ละภาษาไม่เหมือนกัน คนสองคนนี้ผิด ถ้าเราคิดแต่ยึดถือธรรมเนียม แต่การหาคู่ของเราธรรมเนียมไม่ได้เป็นผู้กำหนด ธรรมชาติต่างหากละที่เป็นผู้กำหนด" หยกตัวแทนของเด็กชาวจีนที่เกิดในเมืองไทย เมื่อได้รับการเลี้ยงดูและสั่งสอนจากผู้มีคุณธรรมอย่างก๋ง หยกจึงเป็นตัวแทนของเด็กไทยเชื้อสายจีนที่สำนึกอย่างแน่นแฟ้นถึงความเป็นไทยซึ่งจะเห็นได้จากคำกล่าวหนึ่งที่ว่า "ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างยิ่งว่า คนจีนในเมืองไทยทั้งมวลรักแผ่นดินนี้ รู้บุญคุณและกตัญญูต่อร่มเงาที่ให้ความเกษมสุขและให้เสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยมจนกล่าวได้เต็มปากว่า “ไม่เคยมีแผ่นดินไหนให้ความสุขคนจีนได้เท่ากับที่ได้รับจากแผ่นดินไทย ”
คำสอนของก๋ง
“สิ่งที่เราทำด้วยใจรักคือสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งอาจจะไม่ใช่งานที่ให้ผลประโยชน์กับเรามากที่สุด”
“งานที่ไม่ดีเท่าที่ควรจะตัดทางทำมาหากินของเราเอง เขาจะจ้างเราก็เพียงครั้งเดียว แต่ถ้าเราทำงานให้เขาดีๆ เป็นที่พอใจแล้ว ถึงเขาจะไม่มีงานใหม่มาให้เราทำ เขาก็ยังเต็มอกเต็มใจแนะนำลูกค้ารายใหม่มาให้เรา.. คนที่ทำงานลวกๆ พอให้เสร็จๆ ไป จะหากินได้รายละครั้งเดียวเท่านั้นเอง ไม่มีใครมาจ้างซ้ำสองซ้ำสามอีก”
“งานที่มีเวลาคิดมากๆ เวลาลงมือจริงๆ แล้วจะง่ายขึ้น..”
“คนที่เจ้านายไม่เรียกใช้สิ น่าจะต้องสำรวจตัวเองว่ามีความบกพร่องประการใด หรือด้อยความสามารถตรงไหนต่างหาก ไม่ใช่เที่ยวอิจฉาตาร้อนคนที่ก้าวไปข้างหน้าเร็วกว่าตัวเอง ที่เอาแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่เดิม...”
“คนที่ไม่มีการศึกษาจากโรงเรียนเป็นพื้นฐาน หากมีความพยายามความหมั่นเพียรเป็นสรณะแล้ว เขาก็จะสามารถหาวิชาใส่ตัวได้ เพราะวิชาชีพบางอย่างเรียนรู้ได้จากการใช้ความสังเกต การลงมือทดลองทำเอง และการทำบ่อยครั้งขึ้นเพื่อสะสมประสบการณ์ แล้วในบั้นปลายมันจะกลายเป็นความชำนาญไปเอง.. ความชำนาญนี้เองจะเป็นสมบัติติดตัวตลอดไป”
“คนที่เสียเงินซื้อของ เขาก็ต้องการของดีที่สุด... เราอยากได้ลูกค้าต่อไปเราก็ต้องทำงานให้เขาดีที่สุด ให้เขาพอใจที่สุด คำชมเชยของพวกลูกค้าคือพรสำหรับเรา”
“คนที่ไม่เป็นระเบียบ ชีวิตจะยุ่งเหยิง คนที่ไม่รักความสะอาดจะหาความสดชื่นแจ่มใสไม่ได้ และคนที่ไม่รักความสุจริต ชีวิตจะมีมลทิน”
“เขาเอื้อเฟื้อเรา เราก็ต้องตอบแทนเขาบ้าง เขาจะได้เห็นชัดว่าความดีที่เขาประกอบขึ้นได้รับผลตอบสนองทันตา ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า...”
“การตอบแทนบุญคุณทำได้หลายรูป... แต่รูปที่เหมาะสมที่สุดคือ ต้องให้สะดวกใจทั้งผู้ให้และสบายใจทั้งผู้รับ”
“น้ำใจไมตรีแลกได้ทุกสิ่งที่ประสงค์” “ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลวเราเลือกทำเลือกเว้นได้ ” “ คนที่ไม่เป็นระเบียบ ชีวิตจะยุ่งเหยิง คนที่ไม่รักความสะอาด จะหาความสดชื่นแจ่มใสไม่ได้ และคนที่ไม่รักความสุจริต ชีวิตจะมีมลทิน ” “ ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลวเราเลือกทำเลือกเว้นได้ ”“ไม่ใช่ว่าดวงดีแล้วจะร่ำรวยได้ ก่อนจะสร้างตัวได้สำเร็จเขาจะต้องผ่านการทำงานอย่างหนักมาแล้วด้วย รู้จักหาเงิน รู้จักเก็บงำ รู้จักคิดหาช่องทางต่อทุน ฐานะของเขาจึงเป็นปึกแผ่นขึ้นมาได้ ไม่มีใครโชคดีถึงกับนอนขี้เกียจอยู่ข้างถนนแล้วเทวดาจะโยนถุงเงินลงมาให้ถังน้าตัก...จำไว้"
“ เขาไม่อยากเป็นเพื่อนกับเราก็ตามใจเขา แต่อย่าไปโกรธหรือเกลียดชังเขา ในโรงเรียนและในตลาดเรายังหาเพื่อนที่จะคบเราอย่างจริงใจได้อีกมากมาย ขอให้เราเป็นคนดีเท่านั้น” “ ความจริงของคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ความจริงของคนทั้งหมด" “ เรียนไปเถอะหยก คนจนต้องหาวิชาไว้เลี้ยงตัว เพราะไม่มีเงินทองไว้ให้ใช้สอยโดยไม่ต้องทำงาน ตอนเด็กทุกคนมีหน้าที่เรียน โตแล้วทำงาน...คนมีวิชาติดตัวยากนักที่จะอับจน แพ้คนยาก และไม่เสียเปรียบใครด้วย ถ้าไม่มีวิชาติดตัวเลยจะทำงานสูงๆ อะไรก็ไม่ได้ ต้องเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ติดอยู่กับดินกับทรายตลอดชีวิต...พยายามเรียนไปเถอะหยก หมดสมองที่จะเรียนเมื่อไรค่อย หยุด" “ การตอบแทนบุญคุณทำได้หลายรูป...แต่รูปที่เหมาะที่สุดคือต้องให้สะดวกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ คนไม่ผิดผมลงโทษไม่ได้ แต่คนผิดผมไม่ลงโทษให้ได้ ”
ชีวิตของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาอยู่อาศัยบนแผ่นดินไทย ให้แผ่นดินไทยเป็นที่อยู่ ที่ทำมาหากินและบ้างก็ให้เป็นที่ฝังกลบคราสิ้นชีวิต ซึ่งคนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า " คนจีนชีวิตของก๋งบนแผ่นดินไทย คือชีวิตของชายชราผู้หนึ่งที่พลัดจากบ้านเกิดเมืองนอนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ไทย ก๋งเป็นคนจีนแท้ที่จากเมืองจีนตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แม้ก๋งจะเป็นคนจีนแต่ก๋งก็ปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองไทยคือเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายไทย รักแผ่นดินไทย เข้าใจคนไทย เทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ไทย และก๋งไม่เคยที่จะลืมขนบธรรมเนียมประเพณี พร้อมทั้งกฎแห่งกรรมตามความเชื่อประเพณีเก่าของจีน อีกทั้งก๋งยังเป็นบุคคลตัวอย่าง คือเป็นคนที่สามารถสงวนวัฒนธรรมดั้งเดิมอันเป็นสิ่งที่ดีงามของประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองไว้ นอกจากนั้นยังยอมรับวัฒนธรรมไทยซึ่งเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่ไม่ขัดกับวัฒนธรรมเดิมของก๋งได้ ตัวอย่างหนึ่งที่จะยืนยันถึงการยอมรับวัฒนธรรมของก๋งคือ "ธรรมเนียมมันเกิดเพราะคนเป็นผู้กำหนดไม่ใช่หรือ เมื่อกำหนดขึ้นมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปได้ และอย่าลืมว่าธรรมเนียมของคนแต่ละชาติแต่ละภาษาไม่เหมือนกัน คนสองคนนี้ผิด ถ้าเราคิดแต่ยึดถือธรรมเนียม แต่การหาคู่ของเราธรรมเนียมไม่ได้เป็นผู้กำหนด ธรรมชาติต่างหากละที่เป็นผู้กำหนด" หยกตัวแทนของเด็กชาวจีนที่เกิดในเมืองไทย เมื่อได้รับการเลี้ยงดูและสั่งสอนจากผู้มีคุณธรรมอย่างก๋ง หยกจึงเป็นตัวแทนของเด็กไทยเชื้อสายจีนที่สำนึกอย่างแน่นแฟ้นถึงความเป็นไทยซึ่งจะเห็นได้จากคำกล่าวหนึ่งที่ว่า "ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างยิ่งว่า คนจีนในเมืองไทยทั้งมวลรักแผ่นดินนี้ รู้บุญคุณและกตัญญูต่อร่มเงาที่ให้ความเกษมสุขและให้เสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยมจนกล่าวได้เต็มปากว่า “ไม่เคยมีแผ่นดินไหนให้ความสุขคนจีนได้เท่ากับที่ได้รับจากแผ่นดินไทย ”
คำสอนของก๋ง
“สิ่งที่เราทำด้วยใจรักคือสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งอาจจะไม่ใช่งานที่ให้ผลประโยชน์กับเรามากที่สุด”
“งานที่ไม่ดีเท่าที่ควรจะตัดทางทำมาหากินของเราเอง เขาจะจ้างเราก็เพียงครั้งเดียว แต่ถ้าเราทำงานให้เขาดีๆ เป็นที่พอใจแล้ว ถึงเขาจะไม่มีงานใหม่มาให้เราทำ เขาก็ยังเต็มอกเต็มใจแนะนำลูกค้ารายใหม่มาให้เรา.. คนที่ทำงานลวกๆ พอให้เสร็จๆ ไป จะหากินได้รายละครั้งเดียวเท่านั้นเอง ไม่มีใครมาจ้างซ้ำสองซ้ำสามอีก”
“งานที่มีเวลาคิดมากๆ เวลาลงมือจริงๆ แล้วจะง่ายขึ้น..”
“คนที่เจ้านายไม่เรียกใช้สิ น่าจะต้องสำรวจตัวเองว่ามีความบกพร่องประการใด หรือด้อยความสามารถตรงไหนต่างหาก ไม่ใช่เที่ยวอิจฉาตาร้อนคนที่ก้าวไปข้างหน้าเร็วกว่าตัวเอง ที่เอาแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่เดิม...”
“คนที่ไม่มีการศึกษาจากโรงเรียนเป็นพื้นฐาน หากมีความพยายามความหมั่นเพียรเป็นสรณะแล้ว เขาก็จะสามารถหาวิชาใส่ตัวได้ เพราะวิชาชีพบางอย่างเรียนรู้ได้จากการใช้ความสังเกต การลงมือทดลองทำเอง และการทำบ่อยครั้งขึ้นเพื่อสะสมประสบการณ์ แล้วในบั้นปลายมันจะกลายเป็นความชำนาญไปเอง.. ความชำนาญนี้เองจะเป็นสมบัติติดตัวตลอดไป”
“คนที่เสียเงินซื้อของ เขาก็ต้องการของดีที่สุด... เราอยากได้ลูกค้าต่อไปเราก็ต้องทำงานให้เขาดีที่สุด ให้เขาพอใจที่สุด คำชมเชยของพวกลูกค้าคือพรสำหรับเรา”
“คนที่ไม่เป็นระเบียบ ชีวิตจะยุ่งเหยิง คนที่ไม่รักความสะอาดจะหาความสดชื่นแจ่มใสไม่ได้ และคนที่ไม่รักความสุจริต ชีวิตจะมีมลทิน”
“เขาเอื้อเฟื้อเรา เราก็ต้องตอบแทนเขาบ้าง เขาจะได้เห็นชัดว่าความดีที่เขาประกอบขึ้นได้รับผลตอบสนองทันตา ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า...”
“การตอบแทนบุญคุณทำได้หลายรูป... แต่รูปที่เหมาะสมที่สุดคือ ต้องให้สะดวกใจทั้งผู้ให้และสบายใจทั้งผู้รับ”
“น้ำใจไมตรีแลกได้ทุกสิ่งที่ประสงค์” “ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลวเราเลือกทำเลือกเว้นได้ ” “ คนที่ไม่เป็นระเบียบ ชีวิตจะยุ่งเหยิง คนที่ไม่รักความสะอาด จะหาความสดชื่นแจ่มใสไม่ได้ และคนที่ไม่รักความสุจริต ชีวิตจะมีมลทิน ” “ ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลวเราเลือกทำเลือกเว้นได้ ”“ไม่ใช่ว่าดวงดีแล้วจะร่ำรวยได้ ก่อนจะสร้างตัวได้สำเร็จเขาจะต้องผ่านการทำงานอย่างหนักมาแล้วด้วย รู้จักหาเงิน รู้จักเก็บงำ รู้จักคิดหาช่องทางต่อทุน ฐานะของเขาจึงเป็นปึกแผ่นขึ้นมาได้ ไม่มีใครโชคดีถึงกับนอนขี้เกียจอยู่ข้างถนนแล้วเทวดาจะโยนถุงเงินลงมาให้ถังน้าตัก...จำไว้"
“ เขาไม่อยากเป็นเพื่อนกับเราก็ตามใจเขา แต่อย่าไปโกรธหรือเกลียดชังเขา ในโรงเรียนและในตลาดเรายังหาเพื่อนที่จะคบเราอย่างจริงใจได้อีกมากมาย ขอให้เราเป็นคนดีเท่านั้น” “ ความจริงของคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ความจริงของคนทั้งหมด" “ เรียนไปเถอะหยก คนจนต้องหาวิชาไว้เลี้ยงตัว เพราะไม่มีเงินทองไว้ให้ใช้สอยโดยไม่ต้องทำงาน ตอนเด็กทุกคนมีหน้าที่เรียน โตแล้วทำงาน...คนมีวิชาติดตัวยากนักที่จะอับจน แพ้คนยาก และไม่เสียเปรียบใครด้วย ถ้าไม่มีวิชาติดตัวเลยจะทำงานสูงๆ อะไรก็ไม่ได้ ต้องเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ติดอยู่กับดินกับทรายตลอดชีวิต...พยายามเรียนไปเถอะหยก หมดสมองที่จะเรียนเมื่อไรค่อย หยุด" “ การตอบแทนบุญคุณทำได้หลายรูป...แต่รูปที่เหมาะที่สุดคือต้องให้สะดวกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ คนไม่ผิดผมลงโทษไม่ได้ แต่คนผิดผมไม่ลงโทษให้ได้ ”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)