Blog_my friendห้อง2
- 01 ฉัตริน
- 02 ณัฐภัทร
- 03 ธนพล
- 04 ธีรศักดิ์
- 05 ปวิณ
- 06 ภัทร
- 07 วสุพล
- 08 ธรรศกร
- 09 กชกร
- 10 จันทร์จิรา
- 11 จินดาพร
- 12 ชลวรรณ
- 13 ช่อผกา
- 14 ณภัทร์กมล
- 15 ณัฐฐาภรณ์
- 16 ธนิดา
- 17 ธัญวรัตม์
- 18 นฤมล
- 19 นัทธมน
- 20 นันทกานต์
- 21 นารีรัตน์
- 22 ประภัสสร
- 23 ประภัสสร
- 24 ปาลิตา
- 25 พรพิมล
- 26 พัชรี
- 27 พิมพ์ชนก
- 29 มนัสวี
- 30 มีกรุณา
- 31 วรีวรรณ
- 32 ศิรประภา
- 33 ศุราภรณ์
- 34 สุรารักษ์
- 35 สุวิชชา
- 36 อธิชา
- 37 นุสรา
- 38 วิลาวัณย์
- 39 ญาณิศา
- 40 ณัฐวดี
- 41 ปาริชาติ
- 42 สกาวรัตน์
- 43 อนนทภัทร
- ขนิษฐา
- ญาดา
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้งานก็เยอะมาก แต่ไม่ค่อยเหมือนเมื่อวาน เพราะงานบางอย่างเสร็จหมดแล้วแต่วันนี้รู้สึกว่าท้องฟ้าจะไม่เป็นใจให้ดิฉันเรียนพิเศษเนื่องจากตอนที่อยู่โรงเรียนท้องฟ้าสว่างสดใส ไม่มีความว่าจะฝนตกเลย แต่พอดิฉันไปซื้อของที่7-Elevenฝนกลับตกลงมา ตกแบบว่าหนักมากๆ เป็นเม็ดใหญ่ด้วยตกประมาณ 45 นาทีแล้วก็หยุดตกซักพักหนึ่งฝนก็ตกมาอีก ดิฉันคิดว่า ถ้าเราไม่เดินไปฝนก็คงจะลงมาหนักอีก ดิฉันกับเพื่อนตัดสินใจเดินตากฝนไปเรียน ตอนแรกไม่รู้สึกหนาวเลยแต่พอเข้าห้องเรียนกลับหนาวมากๆ
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร
4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง
5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง
ไข่ฟองกลมๆ จะช่วยรักษารูปร่างเพื่อนๆให้ดีหรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเพื่อนๆกันแน่
การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง
"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร
4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง
5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง
ไข่ฟองกลมๆ จะช่วยรักษารูปร่างเพื่อนๆให้ดีหรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเพื่อนๆกันแน่
การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง
"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/
Diary online
วันนี้เป็นวันที่ยุ่งอีกวันหนึ่ง เพราะเมื่อวานเข้าอบรมค่ายคณิตศาสตร์ทำให้มีเวลามีจะทำงานเพียงวันเดียว การบ้านก็แสนจะเยอะมากมายไม่ใช่ว่าดิฉันไม่ทำ ดิฉันทำงานส่งคุณครูอย่างสม่ำเสมอ แต่ดิฉันคิดว่านี้ก็ใกล้ที่จะสอบปลายภาคแล้ว งานบางงานที่คุณครูยังไม่ได้สั่งคุณครูก็ส่งเพื่อให้เป็นไปตามหลักสูตรที่เรียนและเก็บคะแนนให้ครบ ดิฉันได้ยินได้ฟังจากรุ่นพี่ว่า เมื่อตอนอยู่ม.ต้นว่าการบ้านเยอะแล้วพอมาตอนม.ปลายการบ้านก็มากกว่าหลายเท่าตัว ถ้าคนที่ขยันอยู่แล้วก็คงจะไม่ลำบากมากนักแต่สำหรับคนที่ยังนิ่งเฉย ไม่กระตือรืนร้นพอมาอยู่ม.ปลายก็จะลำบาก ต้องขยันเพิ่มขึ้นถ้าไม่ขยันเพิ่มอาจจะเรียนไม่ทันเพื่อนก็ได้ หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ การลาออกเนื่องจากเรียนติด 0แล้วแก้ไม่ผ่าน แต่อย่างไรเสียการเรียนไม่ใช่ความสำเร็จทั้งหมด ความสำเร็จมันขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสที่ดีที่เข้ามาหา ดังนั้นถ้าใครอยากได้รับโอกาสที่ดีเข้ามาเร็วๆก็ควรที่จะดั้งใจเรียนเสียก่อนเรื่องอื่น
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้ดิฉันได้รับเลือกให้เข้าโครงการอัจฉริยภาพ"ค่ายคณิตศาสตร์"เป็นโครงการของจังหวัดที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมนักเรียนในจังหวัดเพชรบุรีให้มีความสารารถด้านคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้น ตอนแรกดิฉันคิดว่าจะไม่ลงเข้าอบรมเพราะดิฉันคิดว่ามันเสียเวลที่จะทำการบ้าน เนื่องจากการบ้านมีเยอะมากๆ แต่พอดิฉันมาคิดไตร่ตรองหาข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบของการเข้าอบรมในครั้งนี้ ดิฉันได้ข้อสรุปว่า การเข้าค่ายได้รับประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แต่การบ้านเราไม่ได้ส่งวันจันทร์ทั้งหมดเพราะฉะนั้นเราจะมีเวลาในการทำการบ้านอีกนิดหน่อย ในการเข้าค่ายนี้ดิฉันกับเพื่อนไม่ได้เข้าเฉพาะโรงเรียนเบญจมฯเพียงโรงเรียนเดียวแต่มีโรงเรียนที่มาเข้าอีกรวมทั้งหมดประมาณ 19 โรงเรียน การเข้าค่ายในครั้งนี้สนุกมากๆเพราะมีกิจกรรมที่ส่งเสริมความรู้ในด้านคณิตศาสตร์ เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับโจทย์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้สูตร แต่อาศัยความเข้าใจและกิจกรรมตามฐานต่างๆเป็นเวลาที่อบรมทั้งหมด 1 วัน ตอนกลับบ้านคุณครูก็มีความเมตตาไปส่งที่คิวรถด้วย การมาเข้าอบรมนอกจากเราจะได้ความรู้แล้วเรายังได้ความสนุกอีกด้วย
สาระน่ารู้
การจัดสัตว์ 10 อันดับสำหรับสัตว์ที่อายุยืนที่สุดในโลก
สัตว์อายุยืนอันดับ 10 คือ “ลิง” ญาติห่างๆ ของมนุษย์ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลิงจะมีอายุเฉลี่ย 25 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 9 คือ “ช้าง” ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 60 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับการดูแล อาหารการกินและความเครียด ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบอายุขัยระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกาแล้ว พบว่า ช้างแอฟริกาที่ต้องผจญกับสัตว์ป่านานาชนิดและอาหารการกินที่ขัดสนกว่า ทำให้พวกมันเครียดและมีอายุขัยน้อยกว่าช้างเอเชีย มีบันทึกว่าประเทศญี่ปุ่นเคยมีช้างที่มีอายุมากที่สุดในโลกคือ 86 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 8 คือ สัตว์ที่ไม่มีใครอยากให้มันมีชีวิตที่ยืนยาวนักเพราะมันมักได้รับบทตัวร้ายในละครเสมอๆ นั่นคือ “อีกา” ด้วยเหตุผลที่อีกาจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดอายุขัย ทำให้มันไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้การสืบพันธุ์ยังเป็นตัวเร่ง นาฬิกาชีวภาพให้หมุนเร็วขึ้นด้วย อีกาจึงมีอายุขัยสูงถึง 90 ปี ซึ่งพบอีกว่า นกหลายๆ ชนิดก็มีอายุที่ยืนยาวไม่ต่างจากอีกามากนัก เช่น นกกระตั้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 7 คือ “กุ้งก้ามกราม” ด้วยอายุขัย 100 ปี ถือว่าอายุยืนที่สุดในสัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่มันมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานน้อย
สัตว์อายุยืนอันดับ 6 คือ “หอยมุกน้ำจืด” ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เผาผลาญพลังงานน้อย กินน้อย ใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจน้อย ทำให้มันมีอายุขัยมากกว่า 110 ปี
สำหรับ “มนุษย์” ถือได้ว่ามีอายุยืนในอันดับกลางๆ ไม่มากหรือน้อยเกืนไปคืออยู่ในอันดับ 5 โดยมีอายุขัยสูงสุด 120 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่จารึกไว้ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์และฮินดูที่ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยได้ไม่เกิน 120 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะหลังมานี้ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุทะลุ 100 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับการมีอายุยืนของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายล้วนระบุตรงกันถึง การบริโภคอย่างพอดี การออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และมีทัศนคติที่ดี
สัตว์อายุยืนอันดับ 4 คือ ปลาโบราณร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่มีไข่ที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลก นั่นคือ “ปลาสเตอร์เจียน” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า มันสามารถมีอายุได้สูงถึง 150 ปี โดยคาดกันว่าน่าจะเป็นผลมาจากยีนอายุยืนที่พิสูจน์แล้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 3 คือ “พี่เบิ้ม” สิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นคือ “ปลาวาฬในทวีปแอนตาร์กติก” ด้วยอายุขัย 200 ปี
สิ่งมีชีวิตอายุยืนอันดับ 2 คือ “เต่า” ที่มีอายุขัยประมาณ 250 ปี โดยเต่าที่มีอายุยืนที่สุดในโลกขณะนี้คือ "เต่ากาลาปากอส"ที่มีชื่อว่า “แฮเรียน” ตัวเดียวกันกับที่ “ชาร์ลส ดาร์วิน” นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องจับมันมาใช้ชีวิตเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน โดย ชาร์ลส เองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีอายุยืนกว่าเขาเองเสียอีก โดยสาเหตุที่เชื่อว่าเต่ามีอายุยืนยาวสืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวเนิบช้า และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ของมันนั่นเอง
แตน แต๊น!!! สำหรับสิ่งมีชีวิตอายุยืนที่สุดในโลกอันดับที่ 1 จะเป็นของใครไปไม่ได้เลยนอกจาก สิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตดำดิ่งอยู่ ก้นมหาสมุทรอันมืดมิดด้วยอุณหภูมิเย็นเฉียบ มันคือ “ฟองน้ำยักษ์” ซึ่งมีอายุสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10,000 ปี หรืออาจกล่าวว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตายก็ได้ และเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ฟองน้ำยักษ์มีอายุยืนที่สุดในโลก หลายคนอาจเบนหน้าหนีด้วยที่ว่ามันแทบไม่กิน และไม่กระดุกระดิกเลย จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับแซวมันว่า หากมนุษย์ต้องการที่จะมีอายุยืนแต่ต้องอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ไม่กินอาหาร และอยู่นิ่งๆ เหมือนโดนสต๊าฟไว้แล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอายุยืนเหมือนมันอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเคล็ดลับการมีอายุยืนว่า น่าจะเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตที่สงบเงียบ ความใจเย็น การมีกำลังใจ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม ระบบภูมิคุ้มกันโรคที่มีประสิทธิภาพอันเป็นผลมาจากพันธุกรรม การไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และการเผาผลาญพลังงานของร่างกายที่น้อย นอกจากนี้ ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งที่พวกเขาค้นพบคือ อายุขัยอาจไม่ได้ถูกกำหนดด้วยจำนวนวันที่เรามีชีวิตอยู่ก็ได้ หากแต่เป็นอัตราส่วนการใช้พลังงานต่อน้ำหนักหนึ่งกรัม ซึ่งหากเรามองในแง่นี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตจะมีอายุเท่ากันทุกสายพันธุ์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://pil.numplus.com/ityouth2009/frontpage/2/page/bs_bk_02.htm
สัตว์อายุยืนอันดับ 10 คือ “ลิง” ญาติห่างๆ ของมนุษย์ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลิงจะมีอายุเฉลี่ย 25 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 9 คือ “ช้าง” ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 60 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับการดูแล อาหารการกินและความเครียด ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบอายุขัยระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกาแล้ว พบว่า ช้างแอฟริกาที่ต้องผจญกับสัตว์ป่านานาชนิดและอาหารการกินที่ขัดสนกว่า ทำให้พวกมันเครียดและมีอายุขัยน้อยกว่าช้างเอเชีย มีบันทึกว่าประเทศญี่ปุ่นเคยมีช้างที่มีอายุมากที่สุดในโลกคือ 86 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 8 คือ สัตว์ที่ไม่มีใครอยากให้มันมีชีวิตที่ยืนยาวนักเพราะมันมักได้รับบทตัวร้ายในละครเสมอๆ นั่นคือ “อีกา” ด้วยเหตุผลที่อีกาจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดอายุขัย ทำให้มันไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้การสืบพันธุ์ยังเป็นตัวเร่ง นาฬิกาชีวภาพให้หมุนเร็วขึ้นด้วย อีกาจึงมีอายุขัยสูงถึง 90 ปี ซึ่งพบอีกว่า นกหลายๆ ชนิดก็มีอายุที่ยืนยาวไม่ต่างจากอีกามากนัก เช่น นกกระตั้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 7 คือ “กุ้งก้ามกราม” ด้วยอายุขัย 100 ปี ถือว่าอายุยืนที่สุดในสัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่มันมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานน้อย
สัตว์อายุยืนอันดับ 6 คือ “หอยมุกน้ำจืด” ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เผาผลาญพลังงานน้อย กินน้อย ใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจน้อย ทำให้มันมีอายุขัยมากกว่า 110 ปี
สำหรับ “มนุษย์” ถือได้ว่ามีอายุยืนในอันดับกลางๆ ไม่มากหรือน้อยเกืนไปคืออยู่ในอันดับ 5 โดยมีอายุขัยสูงสุด 120 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่จารึกไว้ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์และฮินดูที่ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยได้ไม่เกิน 120 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะหลังมานี้ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุทะลุ 100 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับการมีอายุยืนของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายล้วนระบุตรงกันถึง การบริโภคอย่างพอดี การออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และมีทัศนคติที่ดี
สัตว์อายุยืนอันดับ 4 คือ ปลาโบราณร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่มีไข่ที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลก นั่นคือ “ปลาสเตอร์เจียน” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า มันสามารถมีอายุได้สูงถึง 150 ปี โดยคาดกันว่าน่าจะเป็นผลมาจากยีนอายุยืนที่พิสูจน์แล้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 3 คือ “พี่เบิ้ม” สิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นคือ “ปลาวาฬในทวีปแอนตาร์กติก” ด้วยอายุขัย 200 ปี
สิ่งมีชีวิตอายุยืนอันดับ 2 คือ “เต่า” ที่มีอายุขัยประมาณ 250 ปี โดยเต่าที่มีอายุยืนที่สุดในโลกขณะนี้คือ "เต่ากาลาปากอส"ที่มีชื่อว่า “แฮเรียน” ตัวเดียวกันกับที่ “ชาร์ลส ดาร์วิน” นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องจับมันมาใช้ชีวิตเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน โดย ชาร์ลส เองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีอายุยืนกว่าเขาเองเสียอีก โดยสาเหตุที่เชื่อว่าเต่ามีอายุยืนยาวสืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวเนิบช้า และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ของมันนั่นเอง
แตน แต๊น!!! สำหรับสิ่งมีชีวิตอายุยืนที่สุดในโลกอันดับที่ 1 จะเป็นของใครไปไม่ได้เลยนอกจาก สิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตดำดิ่งอยู่ ก้นมหาสมุทรอันมืดมิดด้วยอุณหภูมิเย็นเฉียบ มันคือ “ฟองน้ำยักษ์” ซึ่งมีอายุสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10,000 ปี หรืออาจกล่าวว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตายก็ได้ และเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ฟองน้ำยักษ์มีอายุยืนที่สุดในโลก หลายคนอาจเบนหน้าหนีด้วยที่ว่ามันแทบไม่กิน และไม่กระดุกระดิกเลย จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับแซวมันว่า หากมนุษย์ต้องการที่จะมีอายุยืนแต่ต้องอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ไม่กินอาหาร และอยู่นิ่งๆ เหมือนโดนสต๊าฟไว้แล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอายุยืนเหมือนมันอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเคล็ดลับการมีอายุยืนว่า น่าจะเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตที่สงบเงียบ ความใจเย็น การมีกำลังใจ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม ระบบภูมิคุ้มกันโรคที่มีประสิทธิภาพอันเป็นผลมาจากพันธุกรรม การไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และการเผาผลาญพลังงานของร่างกายที่น้อย นอกจากนี้ ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งที่พวกเขาค้นพบคือ อายุขัยอาจไม่ได้ถูกกำหนดด้วยจำนวนวันที่เรามีชีวิตอยู่ก็ได้ หากแต่เป็นอัตราส่วนการใช้พลังงานต่อน้ำหนักหนึ่งกรัม ซึ่งหากเรามองในแง่นี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตจะมีอายุเท่ากันทุกสายพันธุ์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://pil.numplus.com/ityouth2009/frontpage/2/page/bs_bk_02.htm
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
เคล็ดลับง่ายๆ ของการกินอาหารเพื่อสุขภาพมาดูกันว่ามีเคล็ดลับดีๆ อะไรที่จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง
1.กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเราทำให้อาการเมาหายไปได้
2.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในฝรั่งมีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3.มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย
4.การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
5.การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในเนยมีกรดอมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสะกดให้หลับได้สนิทขึ้น
6.กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่ เพียงพอช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
7.การกินช็อกโกแลตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะโกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
8.การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะการที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารที่มี จำเป็นอยู่มากอีกด้วย
9.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะเลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารที่ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อมลง
มีเคล็ดลับดีๆ แล้วก็อย่าลืมเอาไปใช้กันนะเพื่อนๆเพื่อสุขภาพที่ดีของเพื่อนๆ
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16982/%E0%B9%81%E0%B8%89-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99...%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2.htm
1.กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเราทำให้อาการเมาหายไปได้
2.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในฝรั่งมีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3.มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย
4.การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
5.การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในเนยมีกรดอมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสะกดให้หลับได้สนิทขึ้น
6.กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่ เพียงพอช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
7.การกินช็อกโกแลตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะโกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
8.การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะการที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารที่มี จำเป็นอยู่มากอีกด้วย
9.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะเลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารที่ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อมลง
มีเคล็ดลับดีๆ แล้วก็อย่าลืมเอาไปใช้กันนะเพื่อนๆเพื่อสุขภาพที่ดีของเพื่อนๆ
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16982/%E0%B9%81%E0%B8%89-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99...%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2.htm
Diary online
วันนี้ก็เป็นเหมือนเดิม มีชีวิตที่รีบเร่งต้องแข่งขันกับเวลาและตนเอง วันนี้มีการสอบด้วยในตอนแรกนึกว่ามีสอบทั้งหมด 3 วิชาคือ คณิตศาสตร์ ภาษาไทยและเคมี แต่พอมาถึงโรงเรียนกลับพบว่าวิชาที่สอบวันนี้มีแค่วิชาเดียวคือ คณิตศาสตร์เรื่องสมการ ช่วง เซตคำตอบของอสมการ ในตอนที่สอบมีข้อสอบที่ต้องทำจำนวน 3 หน้า เห็นตอนแรกก็ตกใจมากแต่พอลงมือทำกลับไม่ยากอย่างที่คิดเพราะดิฉัน เข้าใจในบทเรียนตอนที่เรียนในห้องเรียน วันนี้ดิฉันจับกลุ่มพูดคุยกับเพื่อนประมาน 6 คน เพื่อนๆบอกว่าวันนี้เพื่อนในห้องคุยกัยเสียงดังมาก รู้สึกว่าไม่เกรงใจคุณครูเลย ในตอนแรกที่เจอหน้าคุณครูเพื่อนๆให้ความเคารพอย่างมากแต่พอคุณครูท่านใจดี เพื่อนก็ไม่ให้ความเกรงใจ มีหลายครั้งที่คุณครูบอกกล่าวตักเตือนเพื่อนๆก็จะเงียบ พอถึงคาบเรียนหน้าก็จะประพฤติเหมือนเดิม ดิฉันมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่า คนเราทุกคนควรประพฤติตนเสมอต้น เสมอปลายและก็จะเป็นที่รักของครูบาอาจารย์รวมถึงผู้ใหญ่ท่านอื่นๆด้วย
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
เพื่อนๆเคยเจออาการแบบนี้บ้างไหม เช่น คุยโทรศัพท์นานๆ แล้วรู้สึกหูของตัวเองร้อนหรือมีเลือดผสมหนองไหลออกมาจากหู ถ้าเพื่อนๆมีอาการแบบนี้ก็อ่านสาเหตุของการเกิดได้ที่นี้เลย
มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคันซึ่งเมื่อเพื่อนๆ แคะหรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้
*วิธีป้องกัน
ถ้าเพื่อนๆรู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค
หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น เพื่อนๆรู้กันรึเปล่าว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหูและการอักแสบในช่องหูได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ
อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึง ต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆจะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยเพื่อนๆจะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุได้
เพื่อนๆเห็นไหมว่า สิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรานั้นสามารถทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเองแล้วเพื่อนๆจึงควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ , เครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 ฯลฯ ให้เหมาะสมไม่มากจนเกินไป
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16973/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B0.....htm
มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคันซึ่งเมื่อเพื่อนๆ แคะหรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้
*วิธีป้องกัน
ถ้าเพื่อนๆรู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค
หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น เพื่อนๆรู้กันรึเปล่าว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหูและการอักแสบในช่องหูได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ
อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึง ต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆจะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยเพื่อนๆจะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุได้
เพื่อนๆเห็นไหมว่า สิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรานั้นสามารถทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเองแล้วเพื่อนๆจึงควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ , เครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 ฯลฯ ให้เหมาะสมไม่มากจนเกินไป
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16973/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B0.....htm
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)