Blog_my friendห้อง2
- 01 ฉัตริน
- 02 ณัฐภัทร
- 03 ธนพล
- 04 ธีรศักดิ์
- 05 ปวิณ
- 06 ภัทร
- 07 วสุพล
- 08 ธรรศกร
- 09 กชกร
- 10 จันทร์จิรา
- 11 จินดาพร
- 12 ชลวรรณ
- 13 ช่อผกา
- 14 ณภัทร์กมล
- 15 ณัฐฐาภรณ์
- 16 ธนิดา
- 17 ธัญวรัตม์
- 18 นฤมล
- 19 นัทธมน
- 20 นันทกานต์
- 21 นารีรัตน์
- 22 ประภัสสร
- 23 ประภัสสร
- 24 ปาลิตา
- 25 พรพิมล
- 26 พัชรี
- 27 พิมพ์ชนก
- 29 มนัสวี
- 30 มีกรุณา
- 31 วรีวรรณ
- 32 ศิรประภา
- 33 ศุราภรณ์
- 34 สุรารักษ์
- 35 สุวิชชา
- 36 อธิชา
- 37 นุสรา
- 38 วิลาวัณย์
- 39 ญาณิศา
- 40 ณัฐวดี
- 41 ปาริชาติ
- 42 สกาวรัตน์
- 43 อนนทภัทร
- ขนิษฐา
- ญาดา
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เข้าสู่การเป็นแพทย์
วันนี้เป็นเรียนวิชาชีวะ คุณครูบอกให้เตรียมปอดหมูมาทำการทดลองการผ่าตัด เพื่อศึกษาอวัยวะภายใน ที่ห้องของดิฉันได้เตรียมมาทั้งหมด 4 ปอด ในตอนแรกดิฉันไม่กลัวที่จะผ่าแล้วดูอวัยวะภายในระบบหายใจ แต่เมื่อดิฉันคิดว่า ถ้าเราอยากเป็นหมอ เราก็ต้องทำให้ได้ เมื่อดิฉันลงมือปฏิบัติจริง กลับมองว่าเป็นเรื่องที่สนุก ท้าทาย ดิฉันได้ผ่าตัดทุกส่วนตั้งแต่หลอดลม หลอดอาหาร กล่องเสียง ปอด และหัวใจ เป็นต้น ดิฉันรู้สึกว่า การที่เราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นการตัดสินใจของเราทั้งหมด ถ้าวันนี้ดิฉันไม่ได้ผ่าตัดปอดหมู ดิฉันก็คงไม่คิดดิฉันจะสามารถเป็นแพทย์ได้
เทคนิคการshopping
ขั้นตอนก่อนการshopping
1. อย่างแรกที่ต้องทำก็คือควรตั้งเป้าไว้ก่อนเลยนะคะว่า การช้อปปิ้งครั้งนี้เราต้ องการซื้ออะไรเป็นหลัก ไม่อย่างนั้นการช้อปปิ้งครั้งนี้จะกลายเป็นการเดินช้อปปิ้งแบบชิลๆ โดยที่ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาเลย
2. เมื่อวางแผนเสร็จแล้วว่าจะซื้ออะไรบ้าง ทีนี้ก็ได้เวลาที่เราจะต้องเริ่มสืบราคาแล้วล่ะค่ะว่าของที่เราอยากได้นั้น มีขายที่ไหนและราคาประมาณเท่าไหร่บ้าง อาจจะเช็คราคาจากอินเตอร์เน็ต หรืออาจจะแอบไปเซอเวย์ดูก่อนก็ได้ว่ามีร้านไหนขายบ้าง ราคาเท่าไหร่ แล้วค่อยกลับมาตัดสินใจเลือกร้านที่ถูกและดีที่สุด
3. ลืมไม่ได้เด็ดขาดเมื่อเช็คราคาของที่ต้องการซื้อแล้ว เราก็ต้องมาเช็คเรตติ้งเงินในกระเป๋าเราด้วยว่ามีทุนทรัพย์อยู่เท่าไหร่ จำไว้นะคะว่าอย่าได้ช้อปปิ้งเกินตัวเป็นอันขาดมิฉะนั้นอาจเกิดการเป็นหนี้ได้โดยไม่รู้ตัวนะจ๊ะ
4. และถ้าอยากจะประหยัดมากขึ้น ถ้าต้องการช้อปปิ้งเสื้อผ้า พี่เหมี่ยวแนะนำให้น้องๆ ลองหาตัวหารดูค่ะ หาเพื่อนรวมอุดมการณ์ช้อปง แล้วก็เลือกแหล่งช้อปแบบขายส่ง อย่าง แพทตินั่ม ใบหยก ประตูน้ำ รับรองว่ามีให้เลือกเพียบค่ะ ถูกใจและถูกตังค์ด้วย
5. อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำก่อนออกไปช้อปปิ้งก็คือ ลองเช็คดูให้ดีๆ ก่อนว่าของที่เราอยากได้นั้น เรามีอยู่แล้วรึเปล่า ถ้ามีอยู่แล้วและยังใช้งานได้ดีก็ไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่หรอกค่ะ
6. อยากได้ของดีไม่จำเป็นต้องเข้าห้างค่ะ ของถูกของดียังคงมีอยู่นะจ๊ะ อาจจะแฝงตัวอยู่ตามจตุจัตร รัชดาไนท์พลาซ่า หรือตะวันนา ยังไงถ้าจะช้อปให้ฉลาดก็ต้องลงทุนเดินสำรวจกันหน่อยล่ะ
7. เตรียมปากเตรียมใจไว้ต่อราคา ยิ่งร้านที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในห้างด้วยแล้วล่ะก็ ต่อเป็นต่อเลยค่ะมีปากซะอย่าง ใช้เทคนิคออดอ้อนซะหน่อย รับรองว่าเราจะได้ของราคาถูกกลับมาแน่ๆ ค่ะ
8. อย่าช้อปปิ้งบ่อยจนเกิดไป เตือนตัวเองไว้ว่าการช้อปปิ้งคือการผลาญเงินให้หมดไปกับกิเลสของเราเอง เราอาจจะมีความสุขตอนได้ช้อปปิ้ง แต่อาจจะมีความทุกข์ตามมาแน่ๆ ถ้าค่าขนมในสัปดาห์นี้หมดไปกับเสื้อตัวสวยซะแล้ว
9. ช้อปปิ้งอย่างมีลิมิทเมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ให้ถอนตัวทันทีจะได้ไม่เกิดอาการงบบานปลายยังไงล่ะ
10. และท้ายที่สุดเลือกช้อปปิ้งในช่วงสิ้นปีนี่ล่ะเริ่ด เพราะเป็นช่วงที่บรรดาสินค้าต่างๆ ลดแลกแจกแถมกันแบบไม่อัน นี่ล่ะเวลาทองของนักช้อป!!!
1. อย่างแรกที่ต้องทำก็คือควรตั้งเป้าไว้ก่อนเลยนะคะว่า การช้อปปิ้งครั้งนี้เราต้ องการซื้ออะไรเป็นหลัก ไม่อย่างนั้นการช้อปปิ้งครั้งนี้จะกลายเป็นการเดินช้อปปิ้งแบบชิลๆ โดยที่ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาเลย
2. เมื่อวางแผนเสร็จแล้วว่าจะซื้ออะไรบ้าง ทีนี้ก็ได้เวลาที่เราจะต้องเริ่มสืบราคาแล้วล่ะค่ะว่าของที่เราอยากได้นั้น มีขายที่ไหนและราคาประมาณเท่าไหร่บ้าง อาจจะเช็คราคาจากอินเตอร์เน็ต หรืออาจจะแอบไปเซอเวย์ดูก่อนก็ได้ว่ามีร้านไหนขายบ้าง ราคาเท่าไหร่ แล้วค่อยกลับมาตัดสินใจเลือกร้านที่ถูกและดีที่สุด
3. ลืมไม่ได้เด็ดขาดเมื่อเช็คราคาของที่ต้องการซื้อแล้ว เราก็ต้องมาเช็คเรตติ้งเงินในกระเป๋าเราด้วยว่ามีทุนทรัพย์อยู่เท่าไหร่ จำไว้นะคะว่าอย่าได้ช้อปปิ้งเกินตัวเป็นอันขาดมิฉะนั้นอาจเกิดการเป็นหนี้ได้โดยไม่รู้ตัวนะจ๊ะ
4. และถ้าอยากจะประหยัดมากขึ้น ถ้าต้องการช้อปปิ้งเสื้อผ้า พี่เหมี่ยวแนะนำให้น้องๆ ลองหาตัวหารดูค่ะ หาเพื่อนรวมอุดมการณ์ช้อปง แล้วก็เลือกแหล่งช้อปแบบขายส่ง อย่าง แพทตินั่ม ใบหยก ประตูน้ำ รับรองว่ามีให้เลือกเพียบค่ะ ถูกใจและถูกตังค์ด้วย
5. อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำก่อนออกไปช้อปปิ้งก็คือ ลองเช็คดูให้ดีๆ ก่อนว่าของที่เราอยากได้นั้น เรามีอยู่แล้วรึเปล่า ถ้ามีอยู่แล้วและยังใช้งานได้ดีก็ไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่หรอกค่ะ
6. อยากได้ของดีไม่จำเป็นต้องเข้าห้างค่ะ ของถูกของดียังคงมีอยู่นะจ๊ะ อาจจะแฝงตัวอยู่ตามจตุจัตร รัชดาไนท์พลาซ่า หรือตะวันนา ยังไงถ้าจะช้อปให้ฉลาดก็ต้องลงทุนเดินสำรวจกันหน่อยล่ะ
7. เตรียมปากเตรียมใจไว้ต่อราคา ยิ่งร้านที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในห้างด้วยแล้วล่ะก็ ต่อเป็นต่อเลยค่ะมีปากซะอย่าง ใช้เทคนิคออดอ้อนซะหน่อย รับรองว่าเราจะได้ของราคาถูกกลับมาแน่ๆ ค่ะ
8. อย่าช้อปปิ้งบ่อยจนเกิดไป เตือนตัวเองไว้ว่าการช้อปปิ้งคือการผลาญเงินให้หมดไปกับกิเลสของเราเอง เราอาจจะมีความสุขตอนได้ช้อปปิ้ง แต่อาจจะมีความทุกข์ตามมาแน่ๆ ถ้าค่าขนมในสัปดาห์นี้หมดไปกับเสื้อตัวสวยซะแล้ว
9. ช้อปปิ้งอย่างมีลิมิทเมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ให้ถอนตัวทันทีจะได้ไม่เกิดอาการงบบานปลายยังไงล่ะ
10. และท้ายที่สุดเลือกช้อปปิ้งในช่วงสิ้นปีนี่ล่ะเริ่ด เพราะเป็นช่วงที่บรรดาสินค้าต่างๆ ลดแลกแจกแถมกันแบบไม่อัน นี่ล่ะเวลาทองของนักช้อป!!!
วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันแห่งความสุข
วันนี้ดิฉันดีใจมากๆที่สามารถสะสางการบ้านที่ค้างไว้เสร็จจนได้ การบ้านเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นคณิต ชีวะ เคมี เป็นต้น การที่เราจะทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จได้ นอกจากความฉลาดของเราแล้ว มันก็จะขึ้นอยู่กับความพยายามของเราด้วยว่า มีมาก - น้อยเพียงใด
อยากสวยตลอดกาล ต้องทำตามนะ
วันนี้เรามีวิธีที่จะดูแลตัวเองให้สวยตลอดกาลมาฝาก ไปดูกันเลยค่ะ
1. รับประทานผักผลไม้สารพัดสีที่ธรรมชาติมี
สาวๆ จ๋า...อยากให้ตัวเองดูสวยสดใสตราบนานเท่านานล่ะก็ ต้องรู้จักเลือกรับประทานอาหาร โดยเฉพาะผักผลไม้ซึ่งถือว่า "สุดยอดอาหารเพื่อผิวสวย" นั่นเอง โดยต้องรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ที่มีหลากสีในตู้เย็นของคุณ เช่น สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีส้มแครอต สีเขียวคะน้าหหรือบร็อกโคลี่ สีเหลืองพริกเหลือง ฯลฯ อย่ายึดติดกับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีมีสารอาหารต่างชนิด และยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินไม่ให้น่าเบื่อด้วย
นอกจากนี้ยังมี วิธีการกินที่ทำให้คุณอร่อยกับผักผลไม้กว่าที่คุณคิด และยังไม่รับสารอาหารเพื่อผิวสวยกันแบบเต็มๆ คือ นำผักที่ชอบสีอะไรก็ได้ มามิกซ์รวมกันเป็นสลัดทานพร้อมน้ำสลัด ที่มีให้เลือกหลายรสชาติ แค่นี้ก็รับประทานทั้งผักผลไม้ได้ทุกวันแบบไม่มีเบื่อ
2. สวยเพราะบริหารหน้าท้องใน 5 วินาทีทุกวัน
รีบกลับมาออกกำลังกันได้แล้วค่ะ นอกจากส่งผลเรื่องสุขภาพที่ดีมากๆ แล้ว ยังช่วยให้ผิวสวยตลอดไปอย่างไร้ข้อกังขา แต่หาก
ไม่ มีเวลาจริงๆ มีวิธีง่ายๆ ที่ทำให้คุณสวยและมีสุขภาพดีขึ้นได้ใน 5 วินาที คือ ยอมตื่นเช้าหน่อย ก่อนลุกจากเตียง ให้นอนหงาย เกร็งหน้าท้องไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง ทุกๆ วัน ประมาณสองสัปดาห์เห็นผลเลยว่า หน้าท้องกระชับขึ้น คราวนี้แหละ..ใส่ชุดไหนก็สวย
3. แปรงผิวทุกวันตอนเช้าและก่อนนอน
สำหรับการแปรงผิวต้องใช้แปรงที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ใยบวบ ฯลฯ ซึ่งใช้เวลาแปรงให้
ทั่ว ตัวครั้งละไม่ต่ำกว่า 5 นาทีก่อนอาบน้ำปกติ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และหลังอาบน้ำทุกครั้ง บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อคงความชุ่มชื่นให้ผิว
4. หนีงาน พักร้อน คืนความสวย
หา เวลาพักให้หายอ่อนล้า หายเซ็ง หายเครียดกันซะบ้าง โดยเฉพาะความเครียดเนี่ยเป็นตัวทำลายความสวยมากๆ เลยล่ะ เนื่องจากเวลาเครียดร่างกายจะหลั่งเฮอร์โมนความเครียดออกมาก ผลคือหน้าตาไม่สดใส ผิวหมองคล้ำ สุขภาพแย่ ฯลฯ แบบนี้จะคงความสวยอยู่ได้ยังไง ดังนั้น อย่าปล่อยให้เครียด รีบเติมความสดใสให้ชีวิต และรีชาร์จตัวเอง อาจหนีงานไปพักร้อนสัก 2-3
วัน เป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ได้ผล การสร้างเสียงหัวเราะให้กับตัวเอง ร่างกายจะได้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (สารแห่งความสุข) เมื่ออารมณ์ดี ส่งผลสุขภาพดี ผิวดี แบบนี้..จะไม่สวยได้อย่างไรล่ะ
5. งดกินอาหารที่ก่อเกิดเซลลูไลต์ซะที
อย่าง ที่รู้กัน...แอลกอฮอล์ กาแฟอีนในชากาแฟ มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย ซึ่งรู้ไหมว่าอาหารพวกนี้กินทีไร ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำ ที่สำคัญก่อให้เกิดเซลลูไลต์ง่ายๆ ป้องกันซะก่อนจะยากเกินแก้ ด้วยการเลิกดื่มชากาแฟ และเครื่องดื่มแอลกลฮอล์ซะดีกว่า หันมาดื่มน้ำผลไม้แทน สาวๆ ที่ชอบปาร์ตี้แล้วอดไม่ได้กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คงต้องรีบอดใจงดซะก่อนจะเสียสวย
6. รับประทานผักสดและผลไม้อย่างน้อยวันละ 1 จาน
โดยเฉพาะผักผลไม้อุดมด้วยวิตามินซี ไฟเบอร์ และสารต่อต้านอนุมูลอิสระโดยวิตามินซีสามารถช่วยเก็บคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิว ดูกระชับ เปล่งปลั่ง ส่วนไฟเบอร์ช่วยขับมลพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ผิวสดใสขึ้น ส่วนสารต่อต้านอนุมูลอิสระ แน่นอนช่วยชะลอไม่ให้แก่ก่อนวัย
นั่นเอง ผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารเหล่านี้ เช่น มะเขือเทศ แครอต บร็อกโคลี่ ผักคะน้า มะละกอ สับปะรด พรุน ฝรั่ง สตอร์เบอรี่ กล้วย ฯลฯ รวมทั้งธัญญพืชต่างๆ ด้วย แต่หลายคนอาจเบื่อกับการ กินผักผลไม้ อีกทั้งไม่มีเวลาที่จะทำอะไรที่ซับซ้อน ยุ่งยาก วิธีง่ายๆ ใช้เวลาแค่ 5 นาที ก็สามารถช่วยให้ผักผลไม้ของคุณอร่อยขึ้น คือการทานผักกับน้ำสลัดรสชาติที่ชอบ หรือจิ้มผลไม้กับน้ำสลัดแทนพริกกับเกลือ ก็ช่วยให้ทานผักผลไม้อร่อยขึ้น
ที่มา : http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=35&post_id
1. รับประทานผักผลไม้สารพัดสีที่ธรรมชาติมี
สาวๆ จ๋า...อยากให้ตัวเองดูสวยสดใสตราบนานเท่านานล่ะก็ ต้องรู้จักเลือกรับประทานอาหาร โดยเฉพาะผักผลไม้ซึ่งถือว่า "สุดยอดอาหารเพื่อผิวสวย" นั่นเอง โดยต้องรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ที่มีหลากสีในตู้เย็นของคุณ เช่น สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีส้มแครอต สีเขียวคะน้าหหรือบร็อกโคลี่ สีเหลืองพริกเหลือง ฯลฯ อย่ายึดติดกับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีมีสารอาหารต่างชนิด และยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินไม่ให้น่าเบื่อด้วย
นอกจากนี้ยังมี วิธีการกินที่ทำให้คุณอร่อยกับผักผลไม้กว่าที่คุณคิด และยังไม่รับสารอาหารเพื่อผิวสวยกันแบบเต็มๆ คือ นำผักที่ชอบสีอะไรก็ได้ มามิกซ์รวมกันเป็นสลัดทานพร้อมน้ำสลัด ที่มีให้เลือกหลายรสชาติ แค่นี้ก็รับประทานทั้งผักผลไม้ได้ทุกวันแบบไม่มีเบื่อ
2. สวยเพราะบริหารหน้าท้องใน 5 วินาทีทุกวัน
รีบกลับมาออกกำลังกันได้แล้วค่ะ นอกจากส่งผลเรื่องสุขภาพที่ดีมากๆ แล้ว ยังช่วยให้ผิวสวยตลอดไปอย่างไร้ข้อกังขา แต่หาก
ไม่ มีเวลาจริงๆ มีวิธีง่ายๆ ที่ทำให้คุณสวยและมีสุขภาพดีขึ้นได้ใน 5 วินาที คือ ยอมตื่นเช้าหน่อย ก่อนลุกจากเตียง ให้นอนหงาย เกร็งหน้าท้องไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง ทุกๆ วัน ประมาณสองสัปดาห์เห็นผลเลยว่า หน้าท้องกระชับขึ้น คราวนี้แหละ..ใส่ชุดไหนก็สวย
3. แปรงผิวทุกวันตอนเช้าและก่อนนอน
สำหรับการแปรงผิวต้องใช้แปรงที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ใยบวบ ฯลฯ ซึ่งใช้เวลาแปรงให้
ทั่ว ตัวครั้งละไม่ต่ำกว่า 5 นาทีก่อนอาบน้ำปกติ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และหลังอาบน้ำทุกครั้ง บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อคงความชุ่มชื่นให้ผิว
4. หนีงาน พักร้อน คืนความสวย
หา เวลาพักให้หายอ่อนล้า หายเซ็ง หายเครียดกันซะบ้าง โดยเฉพาะความเครียดเนี่ยเป็นตัวทำลายความสวยมากๆ เลยล่ะ เนื่องจากเวลาเครียดร่างกายจะหลั่งเฮอร์โมนความเครียดออกมาก ผลคือหน้าตาไม่สดใส ผิวหมองคล้ำ สุขภาพแย่ ฯลฯ แบบนี้จะคงความสวยอยู่ได้ยังไง ดังนั้น อย่าปล่อยให้เครียด รีบเติมความสดใสให้ชีวิต และรีชาร์จตัวเอง อาจหนีงานไปพักร้อนสัก 2-3
วัน เป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ได้ผล การสร้างเสียงหัวเราะให้กับตัวเอง ร่างกายจะได้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (สารแห่งความสุข) เมื่ออารมณ์ดี ส่งผลสุขภาพดี ผิวดี แบบนี้..จะไม่สวยได้อย่างไรล่ะ
5. งดกินอาหารที่ก่อเกิดเซลลูไลต์ซะที
อย่าง ที่รู้กัน...แอลกอฮอล์ กาแฟอีนในชากาแฟ มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย ซึ่งรู้ไหมว่าอาหารพวกนี้กินทีไร ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำ ที่สำคัญก่อให้เกิดเซลลูไลต์ง่ายๆ ป้องกันซะก่อนจะยากเกินแก้ ด้วยการเลิกดื่มชากาแฟ และเครื่องดื่มแอลกลฮอล์ซะดีกว่า หันมาดื่มน้ำผลไม้แทน สาวๆ ที่ชอบปาร์ตี้แล้วอดไม่ได้กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คงต้องรีบอดใจงดซะก่อนจะเสียสวย
6. รับประทานผักสดและผลไม้อย่างน้อยวันละ 1 จาน
โดยเฉพาะผักผลไม้อุดมด้วยวิตามินซี ไฟเบอร์ และสารต่อต้านอนุมูลอิสระโดยวิตามินซีสามารถช่วยเก็บคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิว ดูกระชับ เปล่งปลั่ง ส่วนไฟเบอร์ช่วยขับมลพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ผิวสดใสขึ้น ส่วนสารต่อต้านอนุมูลอิสระ แน่นอนช่วยชะลอไม่ให้แก่ก่อนวัย
นั่นเอง ผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารเหล่านี้ เช่น มะเขือเทศ แครอต บร็อกโคลี่ ผักคะน้า มะละกอ สับปะรด พรุน ฝรั่ง สตอร์เบอรี่ กล้วย ฯลฯ รวมทั้งธัญญพืชต่างๆ ด้วย แต่หลายคนอาจเบื่อกับการ กินผักผลไม้ อีกทั้งไม่มีเวลาที่จะทำอะไรที่ซับซ้อน ยุ่งยาก วิธีง่ายๆ ใช้เวลาแค่ 5 นาที ก็สามารถช่วยให้ผักผลไม้ของคุณอร่อยขึ้น คือการทานผักกับน้ำสลัดรสชาติที่ชอบ หรือจิ้มผลไม้กับน้ำสลัดแทนพริกกับเกลือ ก็ช่วยให้ทานผักผลไม้อร่อยขึ้น
ที่มา : http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=35&post_id
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552
7 เคล็ดลับอ่านให้จำได้
1. ต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือซะก่อน หากมีทัศนคติที่แย่ๆ ต่อการอ่านหนังสือแล้ว อ่านถึง 10 รอบก็ไม่มีทางจำได้ อ่านเยอะอย่างไรก็ไม่เข้าหัว
2. เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว ก็ต้องมาสร้างแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วย แรงจูงใจจะเป็นตัวผลักดันและกระตุ้นให้มีความอยากในการอ่านหนังสือ ซึ่งวิธีการสร้างแรงจูงใจก็คือ พยายามคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราอ่านหนังสือสำเร็จ เช่น ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือและเตรียมความฟิตให้ตัวเองจนพร้อมแล้ว เราก็สามารถตะลุยข้อสอบได้ ผลก็คือได้คะแนนเป็นที่น่าพอใจ จากจุดนี้ก็จะทำให้เราได้เกรดสูงๆ หรือไม่ก็ Admissions ติด พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็จะดีใจหรืออาจจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากท่านอีกก็ได้ อิอิ
3. พยายามสรุปเรื่องที่เราอ่านแล้วจำเป็นรูปภาพ ปกติแล้วมนุษย์จะจำเรื่องราวทั้งหมดเป็นรูปภาพ หลายๆวิชาที่ไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราอ่านแล้วไม่สามารถจินตาการ หรือจดจำได้ ให้เพื่อนๆ สรุปเรื่องที่เราอ่านแล้ว นำมาทำเป็น My map เพื่อเชื่อมโยงในส่วนที่สัมพันธ์กันและวาดให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะทำให้จำได้แม่นขึ้น
4. หาเวลาติวให้เพื่อน เป็นวิธีการทบทวนความรู้ไปในตัวได้ดีที่สุด เพราะเราจะสอนออกมาจากความเข้าใจของตัวเราเอง หากติวแล้วเพื่อนที่เราติวให้เข้าใจ ถือว่าเราแตกฉานในความรู้นั้นได้อย่างแท้จริง
5. เน้นการตะลุยโจทย์ให้เยอะๆ พยายามหาข้อสอบย้อนหลังมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะการตะลุยโจทย์จะทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา
6. เตรียมตัวและให้ความสำคัญในการอ่านหนังสือในวิชาที่เราถนัดมากกว่าวิชาที่ดันไม่ขึ้น หลายคนเข้าใจผิด ไปทุ่มเทเวลาให้กับวิชาที่เราไม่ถนัด วิชาไหนที่เราไม่ถนัด ดันยังไงมันก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทุ่มให้กับวิชาที่เราทำได้ให้ชัวร์ดีกว่า จะได้เอาคะแนนไปถัวเฉลี่ยกับวิชาอื่นๆ แบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะนะ
7. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิดี ใครที่สมาธิสั้น จะจำยาก ลืมง่าย ใครสมาธิดี จะจำง่าย ลืมยาก การอ่านหนังสือ ต้องอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย ชั่วโมงครึ่ง 30 นาทีแรกจิตใจของเรากำลังฟุ้ง ให้พยายามปรับให้นิ่ง 60 นาทีหลัง ใจนิ่งมีสมาธิแล้วก็พร้อมรับสิ่งใหม่ เข้าสู่สมอง ที่สำคัญอย่าเอาขยะมาใส่หัว ห้ามคิดเรื่องพวกนี้ซักพักเช่น เรื่องหนัง , เกม , แฟน พยายามออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเรานิ่งขึ้น
2. เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว ก็ต้องมาสร้างแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วย แรงจูงใจจะเป็นตัวผลักดันและกระตุ้นให้มีความอยากในการอ่านหนังสือ ซึ่งวิธีการสร้างแรงจูงใจก็คือ พยายามคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราอ่านหนังสือสำเร็จ เช่น ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือและเตรียมความฟิตให้ตัวเองจนพร้อมแล้ว เราก็สามารถตะลุยข้อสอบได้ ผลก็คือได้คะแนนเป็นที่น่าพอใจ จากจุดนี้ก็จะทำให้เราได้เกรดสูงๆ หรือไม่ก็ Admissions ติด พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็จะดีใจหรืออาจจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากท่านอีกก็ได้ อิอิ
3. พยายามสรุปเรื่องที่เราอ่านแล้วจำเป็นรูปภาพ ปกติแล้วมนุษย์จะจำเรื่องราวทั้งหมดเป็นรูปภาพ หลายๆวิชาที่ไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราอ่านแล้วไม่สามารถจินตาการ หรือจดจำได้ ให้เพื่อนๆ สรุปเรื่องที่เราอ่านแล้ว นำมาทำเป็น My map เพื่อเชื่อมโยงในส่วนที่สัมพันธ์กันและวาดให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะทำให้จำได้แม่นขึ้น
4. หาเวลาติวให้เพื่อน เป็นวิธีการทบทวนความรู้ไปในตัวได้ดีที่สุด เพราะเราจะสอนออกมาจากความเข้าใจของตัวเราเอง หากติวแล้วเพื่อนที่เราติวให้เข้าใจ ถือว่าเราแตกฉานในความรู้นั้นได้อย่างแท้จริง
5. เน้นการตะลุยโจทย์ให้เยอะๆ พยายามหาข้อสอบย้อนหลังมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะการตะลุยโจทย์จะทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา
6. เตรียมตัวและให้ความสำคัญในการอ่านหนังสือในวิชาที่เราถนัดมากกว่าวิชาที่ดันไม่ขึ้น หลายคนเข้าใจผิด ไปทุ่มเทเวลาให้กับวิชาที่เราไม่ถนัด วิชาไหนที่เราไม่ถนัด ดันยังไงมันก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทุ่มให้กับวิชาที่เราทำได้ให้ชัวร์ดีกว่า จะได้เอาคะแนนไปถัวเฉลี่ยกับวิชาอื่นๆ แบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะนะ
7. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิดี ใครที่สมาธิสั้น จะจำยาก ลืมง่าย ใครสมาธิดี จะจำง่าย ลืมยาก การอ่านหนังสือ ต้องอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย ชั่วโมงครึ่ง 30 นาทีแรกจิตใจของเรากำลังฟุ้ง ให้พยายามปรับให้นิ่ง 60 นาทีหลัง ใจนิ่งมีสมาธิแล้วก็พร้อมรับสิ่งใหม่ เข้าสู่สมอง ที่สำคัญอย่าเอาขยะมาใส่หัว ห้ามคิดเรื่องพวกนี้ซักพักเช่น เรื่องหนัง , เกม , แฟน พยายามออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเรานิ่งขึ้น
สัปดาห์แห่งการสอบ
สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์แห่งการสอบ เพราะเป็นการสอบเก็บคะแนนกลางภาค วันที่สอบชั้นม.ต้นสอบ 2 วัน ส่วนชั้นม.ปลายสอบ 3 วัน
คือ วันจันทร์ พุธ และศุกร์ ในสัปดาห์ที่สอบดิฉันไม่ได้เปิดcomputerเลย เพราะอ่านหนังสือตลอดวันที่หยุด การบ้านก็มากมายเท่าภูเขา พอสอบเสร็จก็สะสางชุดใหญ่เลย ดีใจจังใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ต้องเอาถุงเท้าไปแขวน ซานต้าจะได้ให้ของขวัญ(เพื่อนๆเชือกันหรือเปล่า)เป็นความเชื่อตอนเด็กๆที่เชื่อว่า ซานต้ามีจริงแต่พอโตก็รู้ว่า ซานต้าคือคนที่อยู่ใกล้เราที่สุด นั้นคือ พ่อแม่ของเราเอง
เพื่อนเห็นกันแล้วใช่ไหมว่า ก่อนวันคริสต์มาสเราขออะไร วันคริสต์มาสเราก็จะได้อย่างนั้นเพราะพ่อแม่รักเราและพร้อมที่จะให้เราทักอย่าง เพื่อนต้องรักพ่อแม่ให้มากๆนะ
คือ วันจันทร์ พุธ และศุกร์ ในสัปดาห์ที่สอบดิฉันไม่ได้เปิดcomputerเลย เพราะอ่านหนังสือตลอดวันที่หยุด การบ้านก็มากมายเท่าภูเขา พอสอบเสร็จก็สะสางชุดใหญ่เลย ดีใจจังใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ต้องเอาถุงเท้าไปแขวน ซานต้าจะได้ให้ของขวัญ(เพื่อนๆเชือกันหรือเปล่า)เป็นความเชื่อตอนเด็กๆที่เชื่อว่า ซานต้ามีจริงแต่พอโตก็รู้ว่า ซานต้าคือคนที่อยู่ใกล้เราที่สุด นั้นคือ พ่อแม่ของเราเอง
เพื่อนเห็นกันแล้วใช่ไหมว่า ก่อนวันคริสต์มาสเราขออะไร วันคริสต์มาสเราก็จะได้อย่างนั้นเพราะพ่อแม่รักเราและพร้อมที่จะให้เราทักอย่าง เพื่อนต้องรักพ่อแม่ให้มากๆนะ
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552
พ่อสุดประเสริฐของลูก
เมื่อวานเป็นวันพ่อแห่งชาติ ดิฉันได้ทำในสิ่งที่อยากทำมากมายแต่ไม่ได้หมายความว่าดิฉันกระทำเฉพาะวันพ่อเท่านั้น ดิฉันกระทำทุกวัน แต่อาจจะพิเศษจากเดิม เช่น ตอนเย็นของวันศุกร์ดิฉันออกไปหาซื้อพวงมาลัยว่าจะใช้มาไหว้พ่อวันเสาร์ แต่ไปช้าพวงมาลัยเหลือแต่ไม่สวย ดิฉันเลยตั้งใจว่าจะซื้อวันพรุ่งนี้ตอนเช้าโดยไม่บอกให้ใครรู้ แต่เกิดเหตุขัดข้องนิดหน่อยเลยไม่ได้ไป ตอนบ่ายประจวบเหมาะดิฉันเลยไปซื้อพวงมาลัย ที่ร้านขายดอกไม้มีพวงมาลัยหลายขนาด หลายราคาขั้นต่ำตั้งแต่ 10 บาทถึง 120 บาท ในตอนแรกดิฉันจะซื้อพวงมาลัยพวงละ 100 บาทเพราะเห็นว่ามันสวย เป็นดอกมะลิที่ขาวบริสุทธิ์สื่อแทนความรักที่ดิฉันมีให้พ่อได้อย่างเต็มเปี่ยม แต่ดิฉันก็ซื้อไม่ได้เพราะเอาเงินไปไม่พอจึงซื้อพวงมาลัยพวงละ 60 บาทมาแทน เป็นพวงมาลัยดอกมะลิทั้งพวง ตรงปลายเป็นดอกกุหลาบสีชมพู ( น้าออกเงินให้ในบางส่วน )พอถึงบ้านดิฉันเอาพวงมาลัยใส่ตู้เย็นโดยไม่ให้แม่เห็น แต่ความลับไม่มีในโลกแม่เห็นและถามว่า ซื้อมาให้พ่อหรอก ดิฉันตอบว่า ค่ะจะsurpriseพ่อกับแม่ซักหน่อย แม่เห็นไม่surpriseเลย อย่าบอกพ่อนะ
พอถึงตอนกลางคืนดิฉันก็เข้าไปกราบพ่อและอวยพร พร้อมกับขอโทษในสิ่งที่ดิฉันทำไม่ดีกับท่าน ท่านก็อวยพรให้ดิฉันพร้อมถ่ายรูปด้วยกัน ดิฉันเห็นรอยยิ้มของท่าน ดิฉันก็มีความสุขมากๆเลย ในวันพ่อปีนี้เพื่อนๆไปกราบท่านและทำตัวเป็นลูกที่ดีกับท่านแล้วหรือยัง ? ถ้ายังเพื่อนก็รีบทำนะเพราะทุกอย่างไม่แน่นอน ท่านอาจจะไม่อยู่ให้เรากราบแล้วก็ได้
ปล.ดิฉันมาเขียนในวันนี้เพราะเมื่อวานดิฉันดีใจและตื่นเต้น จนลืมมาเขียนเลยขอโทษด้วยนะ
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
จะสอบอะไรกันนักกันหนา
วันนี้มีการสอบพร้อมส่งการบ้านมากมาย เช่น ส่งงานคุณครูสหัสนัย คุณครูเพ็ญนภาและคุณครูอีกๆท่าน การทำการบ้านคุณครูหลายๆท่านก็ไม่หนักสักเท่าไรแต่ที่หนักก็คือ นอกจากจะต้องทำการบ้านส่งแล้วยังสอบอีก 2 วิชาคือ วิชาคณิตศาสตร์และวิชาฟิสิกส์ วิชาคณิตศาสตร์ดิฉันก็ยังไม่เข้าใจเพราะคุณครูสอนเร็วมาก ส่วนวิชาฟิสิกส์คุรครูก็สอนดีมาก แต่อาจเป็นเพราะดิฉันไม่ค่อยชอบฟิสิกส์เป็นทุนเดิม เนื่องจากก่อนที่ดิฉันจะมาเรียนกับคุณครูท่านนี้ ดิฉันเคยเรียนกับคุณครูที่สอนไม่รู้เรื่อง ทำให้ดิฉันเกลียดวิชาฟิสิกส์ไปเลย ดิฉันก็พยายามทำใจให้ชอบ เพราะการที่เราไม่ชอบสิ่งใดแล้วจะต้องทำ สิ่งที่ออกมาก็จะไม่ดีเพระเราไม่ได้ทำจากใจจริง เป็นการกระทำที่ขัดกับที่ใจสั่ง แต่อย่างไรเสียดิฉันก็ต้องอดทนและต้องผ้านมันให้ได้ เพื่อนๆก็เหมือนกันอย่าท้อแท้และสิ้นหวัง สู้กันต่อไป
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันหยุด 5 วัน
โรงเรียนสั่งให้หยุด 1 สัปดาห์เนื่องจากใช้โรงเรียนเป็นที่พักนักกีฬาในการแข่งขันของแต่ละจังหวัด แต่ที่สำคัญโรงเรียนอื่นๆสั่งหยุด 2สัปดาห์ โรงเรียนของเราบอกว่า กลัวนักเรียนเรียนหนังสือไม่ทัน ตอนแรกๆ เพื่อนที่ห้องแตกบ่นว่าน่าอิจฉาโรงเรียนจัง การบ้านก็เยอะแต่ไม่ได้หยุด เซ็งมากๆ และเมื่อวันที่นักกีฬาแต่ละจังหวัดเข้ามาแข่งขันที่โรงเรียน คุณครูบางท่านปล่อยให้นักเรียนไปดูการแข่งขันเพราะเป็นการผ่อนคลายให้กับนักเรียนอีกอย่างหนึ่ง นักเรียนจะได้ไม่เครียด แต่เหตุการณ์ต่างๆก็เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนไปดูการแข่งขันและก็แอบปลื้มนักกีฬาของจังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นฝาแฝดกัน ดิฉันไม่ได้เห็นหน้าตาหรอกแต่ได้ยินจากเพื่อนที่พูดกัน ตอนแรกดิฉันก็คิดว่าชอบแค่ 2-3 คน แต่ความเป็นจริงชอบกันเยอะมากๆ ดิฉันเห็นแว่บๆตอนไปทำงานธนาคาร ดิฉันไม่รู้สึกเหมือนเพื่อนๆที่ชอบกันมากๆ รู้สึกเฉยๆมากกว่า จะทำไงได้เหมือนคนเราชอบไม่เหมือนกัน แต่ในการชอบแต่ละอย่างวเราควรมีขอบเขตใช้กับตัวเอง ไม่มากไม่น้อยเกินไป
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ตะลึง!! 10 เมืองที่มีมลพิษเยอะที่สุดในโลก
10.เมือง คับเว ประเทศแซมเบีย เมืองคับเวเคยรุ่งเรืองด้วยอุตสาหกรรมเหมืองแรสังกะสีและตะกั่วจนถึงปี 1994อุตสาหกรรมนี้ได้ทิ้งฝุ่นตะกั่วไว้ในดินโลหะหนักไว้ในน้ำ งานวิจัยระบุว่ามีการกระจายของตะกั่ว แคดเมียม ทองแดง สังกะสี ปนเปื้อนอยู่ในดินในปริมาณที่สูงกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ในรัศมี 20 กิโลเมตรมีประชาชนได้รับผลกระทบ 255,000 ตน
9.เมือง เชอร์โนบิล ประเทศยูเครน แม้ว่าอุบัติเหตุเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล ระเบิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ปี 1986 จะผ่านไปเป็นเวลา 21 ปี และมีประชาชนได้รับผลกระทบมากถึง 5.5 ล้านคนแล้วก็ตาม แต่บริเวณในรัศมี19 ไมล์ รอบ ๆ โรงไฟฟ้าแห่งนี้ก็ยังเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยไม่ได้ กัมมันตภาพรังสีส่วนใหญ่ยังถูกเก็บกักไว้ภายในโรงไฟฟ้า รอยรั่วของโครงสร้างโรงไฟฟ้าอาจทำให้น้ำไหลเข้าไปจนทำให้เกิดของเหลวเป็นพิษและปนเปื้อนในน้ำใต้ดินได้
8.เมือง นอริลสค์ ประเทศรัสเซีย เมืองนอริลสค์อยู่ในไซบีเรีย เป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมหลอมโลหะที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ละปีมลพิษจากทองแดงและนิเกิลออกไซด์ เกือบ 500 ตัน และกำมะถันอีก 2 ล้านตันถูกปล่อยสู่อากาศ เมืองนอริลสค์เป็นหนึ่งในเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในรัสเซีย หิมะที่นี่มีสีดำ ประชาชนได้รับผลกระทบจากมลพิษในอากาศ 134,000 คน
7.เมือง เซอร์ซินสค์ ประเทศรัสเซีย นี่คือเมืองที่หนังสือกินเนสส์บุ๊กบันทึกว่าเป็นเมืองที่มีมลพิษทางเคมีมากที่สุดในโลก เมืองเซอร์ซินสค์เป็นศูนย์กลางการผลิตเคมีภัณฑ์และอาวุธเคมีตั้งแต่ครั้งสงครามเย็นรวมทั้งการผลิตน้ำมันที่มีสารตะกั่วด้วยมลพิษของเมืองนี้คือแก๊สซาริน แก๊สวีเอ็กซ์ รวมทั้งสารตะกั่ว มีประชาชนได้รับผลกระทบ 300,000 คน
6.เมือง ลา โอโรยา ประเทศเปรู เมืองเหมืองแร่บริเวณเทือกเขาแอนดิสและแหล่งหลอมโลหะนับตั้งแต่ปี 1922 ประชาชนในเมืองนี้ได้รับผลกระทบจากมลพิษและของเสียจากเหมืองและโรงงาน คือ สารตะกั่ว ทองแดง สังกะสี และกำมะถัน ปัจจุบันทางการเปรูขึ้นบัญชีเป็นเมืองที่มีคุณภาพอากาศอยู่ในระดับเลวร้าย 99% เด็กที่อาศัยอยู่ในและรอบ ๆ เมืองมีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินมาตรฐานมีประชาชนได้รับผลกระทบ 35,000 คน
5.เมือง วาปี ประเทศอินเดีย เมืองวาปีอยู่ในรัฐคุชราต มีอุตสาหกรรมต่างๆ มากกว่า 50 ชนิด ในจำนวนนี้มี อุตสาหกรรมปิ โตรเคมี ยาฆ่าแมลง สิ่งทอ ยารักษาโรค เมื่อปี 1994 องค์การCentralPollution Control Board of India (CPCB) ประกาศว่าเมืองวาปีเป็นเขตมลพิษรุนแรงมลพิษมาจากของเสียในโรงงานอุตสาหกรรม อาทิ โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ไซยาไนด์ ทำให้ประชาชนป่วยเป็นโรคผิวหนังอักเสบ โรคปอด และมะเร็งช่องคอ น้ำใต้ดินที่เมืองวาปีปนเปื้อนสารปรอท และสารตะกั่วเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนดเกือบ 100 เท่า มีประชาชนได้รับผลกระทบ 71,000 คน
4.เมือง สุกินดา ประเทศอินเดีย เมืองสุกินดาอยู่ในรัฐโอริสสา แหล่งแร่โครไมท์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอินเดียมลพิษมาจากเหมืองแร่โครไมท์ จำนวน 12แท่ง ซึ่งดำเนินกิจการโดยไม่มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เศษหินกว่า 30 ล้านตันกระจายไปทั่วบริเวณรอบ ๆ เหมืองน้ำเสียจากเหมืองซึ่งไม่ได้รับการบำบัดไหลลงแม่น้ำที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของชุมชน น้ำที่ใช้ดื่มปนเปื้อนสาร Hexavalent Chromium ประมาณ 60% อากาศและดินก็ปนเปื้อนสารดังกล่าวนี้ด้วยมีประชาชนได้รับผล กระทบ 2.6 ล้านคน
3.เมือง เทียนหยิง ประเทศจีน เมืองเทียนหยิงอยู่ในมณฑลอานฮุย ซึ่งเป็นมณฑลที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน การใช้เทคโนโลยีต่ำการผลิตที่ผิดกฎหมาย และการขาดมาตรการควบคุมมลพิษเป็นสาเหตุทำให้เกิดการปล่อยสารตะกั่วและโลหะหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารตะกั่วมีปริมาณสูงกว่ามาตรฐานด้านสุขภาพหลายเท่า แหล่งปล่อยสารตะกั่วคือเหมืองตะกั่วขนาดใหญ่มีประชาชนได้รับผลกระทบ 140,000 คน
2.เมือง หลินเฟิน ประเทศจีน เมืองหลินเฟินอยู่ในมณฑลชานสีศูนย์กลางการใช้พลังงานถ่านหินของจีน เป็น 1ใน 20 เมือง ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกจากการศึกษาของธนาคารโลก (16 เมืองอยู่ที่จีน) และเป็นเมืองที่มีคุณภาพของอากาศเลวร้ายที่สุดในจีนจากการศึกษาขององค์การ State Environmental Protection Administration (SEPA) มลพิษที่ถูกปล่อยออกมามีหลายชนิด เช่น เขม่าคาร์บอนมอนนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ เป็นต้น แหล่งปล่อยที่สำคัญคือโรงงานอุตสาหกรรมและยานยนต์ มีประชาชนได้รับผลกระทบจากมลพิษมากถึง 3 ล้านคน
แต่อันดับที่ 1ก็คือ........
1.เมือง ซัมกายิต ประเทศอาเซอร์ไบจาน(ประเทศไรหว่า) เมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเคมีการเกษตร ซึ่งรวมทั้งยางสังเคราะห์ อลูมิเนียม และยาฆ่าแมลง โรงงานอุตสาหกรรมผลิตสารเคมี น้ำมัน และโลหะหนักปล่อยมลพิษสู่อากาศปีละ 70-120,000 ตัน มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจำนวน 275,000 คน อัตราผู้ป่วยโรคมะเร็งของเมืองนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ 22-51% การเปลี่ยนแปลงของยีนรวมทั้งเด็กพิการแต่กำเนิดถือเป็นเรื่องปกติ
ขอขอบคุณที่มาดีๆ:www.kroobannok.com/blog/18999 ขอบคุณจ้า
9.เมือง เชอร์โนบิล ประเทศยูเครน แม้ว่าอุบัติเหตุเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล ระเบิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ปี 1986 จะผ่านไปเป็นเวลา 21 ปี และมีประชาชนได้รับผลกระทบมากถึง 5.5 ล้านคนแล้วก็ตาม แต่บริเวณในรัศมี19 ไมล์ รอบ ๆ โรงไฟฟ้าแห่งนี้ก็ยังเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยไม่ได้ กัมมันตภาพรังสีส่วนใหญ่ยังถูกเก็บกักไว้ภายในโรงไฟฟ้า รอยรั่วของโครงสร้างโรงไฟฟ้าอาจทำให้น้ำไหลเข้าไปจนทำให้เกิดของเหลวเป็นพิษและปนเปื้อนในน้ำใต้ดินได้
8.เมือง นอริลสค์ ประเทศรัสเซีย เมืองนอริลสค์อยู่ในไซบีเรีย เป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมหลอมโลหะที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ละปีมลพิษจากทองแดงและนิเกิลออกไซด์ เกือบ 500 ตัน และกำมะถันอีก 2 ล้านตันถูกปล่อยสู่อากาศ เมืองนอริลสค์เป็นหนึ่งในเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในรัสเซีย หิมะที่นี่มีสีดำ ประชาชนได้รับผลกระทบจากมลพิษในอากาศ 134,000 คน
7.เมือง เซอร์ซินสค์ ประเทศรัสเซีย นี่คือเมืองที่หนังสือกินเนสส์บุ๊กบันทึกว่าเป็นเมืองที่มีมลพิษทางเคมีมากที่สุดในโลก เมืองเซอร์ซินสค์เป็นศูนย์กลางการผลิตเคมีภัณฑ์และอาวุธเคมีตั้งแต่ครั้งสงครามเย็นรวมทั้งการผลิตน้ำมันที่มีสารตะกั่วด้วยมลพิษของเมืองนี้คือแก๊สซาริน แก๊สวีเอ็กซ์ รวมทั้งสารตะกั่ว มีประชาชนได้รับผลกระทบ 300,000 คน
6.เมือง ลา โอโรยา ประเทศเปรู เมืองเหมืองแร่บริเวณเทือกเขาแอนดิสและแหล่งหลอมโลหะนับตั้งแต่ปี 1922 ประชาชนในเมืองนี้ได้รับผลกระทบจากมลพิษและของเสียจากเหมืองและโรงงาน คือ สารตะกั่ว ทองแดง สังกะสี และกำมะถัน ปัจจุบันทางการเปรูขึ้นบัญชีเป็นเมืองที่มีคุณภาพอากาศอยู่ในระดับเลวร้าย 99% เด็กที่อาศัยอยู่ในและรอบ ๆ เมืองมีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินมาตรฐานมีประชาชนได้รับผลกระทบ 35,000 คน
5.เมือง วาปี ประเทศอินเดีย เมืองวาปีอยู่ในรัฐคุชราต มีอุตสาหกรรมต่างๆ มากกว่า 50 ชนิด ในจำนวนนี้มี อุตสาหกรรมปิ โตรเคมี ยาฆ่าแมลง สิ่งทอ ยารักษาโรค เมื่อปี 1994 องค์การCentralPollution Control Board of India (CPCB) ประกาศว่าเมืองวาปีเป็นเขตมลพิษรุนแรงมลพิษมาจากของเสียในโรงงานอุตสาหกรรม อาทิ โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ไซยาไนด์ ทำให้ประชาชนป่วยเป็นโรคผิวหนังอักเสบ โรคปอด และมะเร็งช่องคอ น้ำใต้ดินที่เมืองวาปีปนเปื้อนสารปรอท และสารตะกั่วเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนดเกือบ 100 เท่า มีประชาชนได้รับผลกระทบ 71,000 คน
4.เมือง สุกินดา ประเทศอินเดีย เมืองสุกินดาอยู่ในรัฐโอริสสา แหล่งแร่โครไมท์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอินเดียมลพิษมาจากเหมืองแร่โครไมท์ จำนวน 12แท่ง ซึ่งดำเนินกิจการโดยไม่มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เศษหินกว่า 30 ล้านตันกระจายไปทั่วบริเวณรอบ ๆ เหมืองน้ำเสียจากเหมืองซึ่งไม่ได้รับการบำบัดไหลลงแม่น้ำที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของชุมชน น้ำที่ใช้ดื่มปนเปื้อนสาร Hexavalent Chromium ประมาณ 60% อากาศและดินก็ปนเปื้อนสารดังกล่าวนี้ด้วยมีประชาชนได้รับผล กระทบ 2.6 ล้านคน
3.เมือง เทียนหยิง ประเทศจีน เมืองเทียนหยิงอยู่ในมณฑลอานฮุย ซึ่งเป็นมณฑลที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน การใช้เทคโนโลยีต่ำการผลิตที่ผิดกฎหมาย และการขาดมาตรการควบคุมมลพิษเป็นสาเหตุทำให้เกิดการปล่อยสารตะกั่วและโลหะหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารตะกั่วมีปริมาณสูงกว่ามาตรฐานด้านสุขภาพหลายเท่า แหล่งปล่อยสารตะกั่วคือเหมืองตะกั่วขนาดใหญ่มีประชาชนได้รับผลกระทบ 140,000 คน
2.เมือง หลินเฟิน ประเทศจีน เมืองหลินเฟินอยู่ในมณฑลชานสีศูนย์กลางการใช้พลังงานถ่านหินของจีน เป็น 1ใน 20 เมือง ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกจากการศึกษาของธนาคารโลก (16 เมืองอยู่ที่จีน) และเป็นเมืองที่มีคุณภาพของอากาศเลวร้ายที่สุดในจีนจากการศึกษาขององค์การ State Environmental Protection Administration (SEPA) มลพิษที่ถูกปล่อยออกมามีหลายชนิด เช่น เขม่าคาร์บอนมอนนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ เป็นต้น แหล่งปล่อยที่สำคัญคือโรงงานอุตสาหกรรมและยานยนต์ มีประชาชนได้รับผลกระทบจากมลพิษมากถึง 3 ล้านคน
แต่อันดับที่ 1ก็คือ........
1.เมือง ซัมกายิต ประเทศอาเซอร์ไบจาน(ประเทศไรหว่า) เมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเคมีการเกษตร ซึ่งรวมทั้งยางสังเคราะห์ อลูมิเนียม และยาฆ่าแมลง โรงงานอุตสาหกรรมผลิตสารเคมี น้ำมัน และโลหะหนักปล่อยมลพิษสู่อากาศปีละ 70-120,000 ตัน มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจำนวน 275,000 คน อัตราผู้ป่วยโรคมะเร็งของเมืองนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ 22-51% การเปลี่ยนแปลงของยีนรวมทั้งเด็กพิการแต่กำเนิดถือเป็นเรื่องปกติ
ขอขอบคุณที่มาดีๆ:www.kroobannok.com/blog/18999 ขอบคุณจ้า
วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
นอนดึกอีกแล้ว
วันนี้ก็นอนดึกอีกตามเคย เพราะต้องทำการบ้านที่จวนตัว การนอนดึกเป็นสิ่งที่ไม่ดีทุกๆคนก็ทราบกันดีแต่เราจะนอนหลับได้อย่างไงถ้าการบ้านที่ต้องส่งวันพรุ่งนี้มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้เวลาตื่นตอนเช้ารู้สึกไม่แจ่มใส ง่วงนอนมาก มีบางครั้งที่แอบนอนหลับในบางวิชา เพราะง่วงมาก เรียนไม่รู้เรื่อง การที่ดิฉันนอนดึกบ่อยๆทำให้รู้สึกว่า เป็นเวลานอนที่แสนจะธรรมดา การนอนตอน23.00 น.ถือว่าเป็นการนอนที่หัวคำที่สุดและการนอนที่ดึกสุดน่าจะเป็น 02.30 น. ถ้าเป็นวันหยุดจะนอนเวลา 03.00 น. และเมื่อเวลาผ่านไปทำให้ดิฉันรู้ว่า การนอนดึกนอกจากเสียสุขภาพแล้วจะทำให้สมองไม่ปลอดโปร่ง เรียนไม่รู้เรื่อง ดังนั้นเพื่อนๆก็ควรนอนแต่หัวค่ำ เพราะปรโยชน์ที่ดีต่อร่างกายของเพื่อนๆเอง
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
งานมาก แต่ต้องทำให้เสร็จ
หลังจากที่กลับมาจากกรุงเทพฯก็ไม่มีเวลาเขียนเลย เพราะดิฉันหยุดเรียนไป 1 สัปดาห์ ทำให้ต้องทำการบ้านที่ยังไม่ได้ทำและนี้ก็เป็นสัปดาห์ที่ 3แล้วที่มีการเปิดการเรียนการสอน การบ้านก็ทะยอยมีเข้ามาเรื่อยๆ ในบางครั้งความขี้เกียจก็ครอบงำทำให้จากเดิมที่ทำการบ้านเสร็จแล้วก็มีการบ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกตามสำนวนไทยว่า "ดินพอกหางหมู" ทำให้ไม่มีเวลาอ่านหนังสือทบทวน เพราะฉะนั้นเพื่อนๆที่กำลังเป็นอย่างดิฉันจงเริ่มปฎิบัติตนใหม่ ไม่ฉะนั้นจะเสียใจถ้าเกรดเฉลี่ยออกมาไม่ดีและการที่เราเริ่มต้นได้ดี ก็ทำให้เรามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ความฉลาดเพิ่มได้ด้วยอาหาร
นักวิทยาศาสตร์จากเอ็มไอที (MIT) เผยแพร่งานวิจัยในวารสาร The FASEB Journal เผยว่า มนุษย์อาจเพิ่มความฉลาดได้มากขึ้นได้จากอาหารที่รับประทาน โดยศึกษาพบว่า อาหารหลายชนิดสามารถเพิ่มจุดประสานประสาท (synapses) ในสมอง และเพิ่มความสามารถในการจำ ทั้งนี้จากการศึกษาในหนูทดลองที่ได้รับอาหารผสมกันหลายแบบ โดยมีสารอาหาร 3 ชนิดที่จำเป็นต่อการรักษาสุขภาพที่ดีของเยื้อหุ้มสมอง เช่น โคลีน (choline) ที่พบในไข่ , ยูริดีนโมโนฟอสเฟต (uridine monophosphate : UMP) ที่พบในผักบีท และ กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (docosahexaenoic acid : DHA) ที่พบในน้ำมันปลา เมื่อเทียบกับหนูทดลองที่ได้รับอาหารอื่น พบว่า ในการทดสอบความจำของหนูทดลองที่ได้รับสารอาหารทั้งสามข้างต้น จะมีความจำในการเดินเข้าวงกตเพื่อหาอาหารดีกว่าหนูที่ไม่ได้รับสารอาหารเหล่านี้
จากหลักฐานทางชีวเคมีพบว่า หนูทดลองที่ได้รับสารอาหารดังกล่าวจะมีกิจกรรมของสมองเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมที่แสดงว่าพวกมันฉลาดขึ้น และจากการศึกษาในเรื่องนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจะสามารถนำไปสู่วิธีที่จะเพิ่มความฉลาดของมนุษย์จากอาหารที่จะรับประทานเข้าไป
อย่างไรก็ตาม SEAL2thai.org เชื่อว่า ควรจะรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และถูกต้อง รวมไปถึงการทำสมาธิภาวนา (อย่างหลังนี้รับรองว่า เมื่อเกิดสมาธิแล้ว ปัญญาย่อมเกิด) ทำแบบนี้เป็นประจำแล้ว เราก็จะมีสุขภาพกายที่ดี สุขภาพจิตที่เป็นสุข และมีความฉลาดเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552
I"m so fine
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ลัล ล้า
ดีใจจัง อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว...จะมีการบ้านอีกแล้ว(^O^)v เย้ เย้
แต่เพื่ออนาคตที่ดีของเรา ก็ต้องสู้ๆนะคนเก่ง
แต่เพื่ออนาคตที่ดีของเรา ก็ต้องสู้ๆนะคนเก่ง
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ใกล้เปิดเทอมแล้ว
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552
เรียนสนุกจังและhomesick
เย้ ..วันนี้ดีจังได้กินขนมอร่อยปิดเทอมสบายดีเหมือนกันนะแต่ก็ยังมีการบ้านอยู่ดีแถมพิเศษสุดๆคือ เรียนพิเศษด้วย.เฮ้ยเพิ่งไปเรียนเคมีมาเข้าใจดีแหล่ะเพราะคุณครูสอนเก่งดีและน่ารักด้วย วันนี้เรียน2วิชาคือ เคมีและฟิสิกส์ วันนี้เรียนฟิสิกส์ไม่ค่อยเข้าใจ สอนเร็วจังทำให้ตอนกลับหอต้องเอาบทเรียนมาทำความเข้าใจ ที่สำคัญวันนี้เรียนเสร็จเร็วแล้วไปเที่ยวที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือ คนที่มากินเยอะมากๆ ไปกินกับเพื่อนหลายคน แต่จะให้ดีกว่านี้พ่อแม่น่าจะมาด้วย คิดถึงบ้านจัง
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ความอดทนชี้อนาคต
วันนี้มีความสุขจังเลย..มาเรียนพิเศษเคมีกับฟิสิกส์เรียนเข้าใจดีจริงๆเป็นเพราะเมื่อคืนเราอาจจะนอนแต่หัวค่ำ ทำให้ตื่นแต่เช้า สมองปลอดโปร่ง ช่วงนี้ฝนตกทุกวันเลยและในบางครั้งก็ตกหนักมากๆทำให้บางครั้งเข้าเรียนสาย มีผลให้ต้องไปเรียนรอบชดเชยเพื่อเก็บเนื้อหาให้ได้ครบถ้วน ถึงแม้ว่าฝนตกจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียน เพื่ออนาคตที่ดีเราต้องสู้ๆๆต่อไป..แพทย์ศิริราชจ๋า รอหน่อยนะ
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้งานก็เยอะมาก แต่ไม่ค่อยเหมือนเมื่อวาน เพราะงานบางอย่างเสร็จหมดแล้วแต่วันนี้รู้สึกว่าท้องฟ้าจะไม่เป็นใจให้ดิฉันเรียนพิเศษเนื่องจากตอนที่อยู่โรงเรียนท้องฟ้าสว่างสดใส ไม่มีความว่าจะฝนตกเลย แต่พอดิฉันไปซื้อของที่7-Elevenฝนกลับตกลงมา ตกแบบว่าหนักมากๆ เป็นเม็ดใหญ่ด้วยตกประมาณ 45 นาทีแล้วก็หยุดตกซักพักหนึ่งฝนก็ตกมาอีก ดิฉันคิดว่า ถ้าเราไม่เดินไปฝนก็คงจะลงมาหนักอีก ดิฉันกับเพื่อนตัดสินใจเดินตากฝนไปเรียน ตอนแรกไม่รู้สึกหนาวเลยแต่พอเข้าห้องเรียนกลับหนาวมากๆ
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร
4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง
5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง
ไข่ฟองกลมๆ จะช่วยรักษารูปร่างเพื่อนๆให้ดีหรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเพื่อนๆกันแน่
การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง
"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้น
เปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร
4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง
5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง
ไข่ฟองกลมๆ จะช่วยรักษารูปร่างเพื่อนๆให้ดีหรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเพื่อนๆกันแน่
การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง
"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/
Diary online
วันนี้เป็นวันที่ยุ่งอีกวันหนึ่ง เพราะเมื่อวานเข้าอบรมค่ายคณิตศาสตร์ทำให้มีเวลามีจะทำงานเพียงวันเดียว การบ้านก็แสนจะเยอะมากมายไม่ใช่ว่าดิฉันไม่ทำ ดิฉันทำงานส่งคุณครูอย่างสม่ำเสมอ แต่ดิฉันคิดว่านี้ก็ใกล้ที่จะสอบปลายภาคแล้ว งานบางงานที่คุณครูยังไม่ได้สั่งคุณครูก็ส่งเพื่อให้เป็นไปตามหลักสูตรที่เรียนและเก็บคะแนนให้ครบ ดิฉันได้ยินได้ฟังจากรุ่นพี่ว่า เมื่อตอนอยู่ม.ต้นว่าการบ้านเยอะแล้วพอมาตอนม.ปลายการบ้านก็มากกว่าหลายเท่าตัว ถ้าคนที่ขยันอยู่แล้วก็คงจะไม่ลำบากมากนักแต่สำหรับคนที่ยังนิ่งเฉย ไม่กระตือรืนร้นพอมาอยู่ม.ปลายก็จะลำบาก ต้องขยันเพิ่มขึ้นถ้าไม่ขยันเพิ่มอาจจะเรียนไม่ทันเพื่อนก็ได้ หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ การลาออกเนื่องจากเรียนติด 0แล้วแก้ไม่ผ่าน แต่อย่างไรเสียการเรียนไม่ใช่ความสำเร็จทั้งหมด ความสำเร็จมันขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสที่ดีที่เข้ามาหา ดังนั้นถ้าใครอยากได้รับโอกาสที่ดีเข้ามาเร็วๆก็ควรที่จะดั้งใจเรียนเสียก่อนเรื่องอื่น
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้ดิฉันได้รับเลือกให้เข้าโครงการอัจฉริยภาพ"ค่ายคณิตศาสตร์"เป็นโครงการของจังหวัดที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมนักเรียนในจังหวัดเพชรบุรีให้มีความสารารถด้านคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้น ตอนแรกดิฉันคิดว่าจะไม่ลงเข้าอบรมเพราะดิฉันคิดว่ามันเสียเวลที่จะทำการบ้าน เนื่องจากการบ้านมีเยอะมากๆ แต่พอดิฉันมาคิดไตร่ตรองหาข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบของการเข้าอบรมในครั้งนี้ ดิฉันได้ข้อสรุปว่า การเข้าค่ายได้รับประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แต่การบ้านเราไม่ได้ส่งวันจันทร์ทั้งหมดเพราะฉะนั้นเราจะมีเวลาในการทำการบ้านอีกนิดหน่อย ในการเข้าค่ายนี้ดิฉันกับเพื่อนไม่ได้เข้าเฉพาะโรงเรียนเบญจมฯเพียงโรงเรียนเดียวแต่มีโรงเรียนที่มาเข้าอีกรวมทั้งหมดประมาณ 19 โรงเรียน การเข้าค่ายในครั้งนี้สนุกมากๆเพราะมีกิจกรรมที่ส่งเสริมความรู้ในด้านคณิตศาสตร์ เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับโจทย์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้สูตร แต่อาศัยความเข้าใจและกิจกรรมตามฐานต่างๆเป็นเวลาที่อบรมทั้งหมด 1 วัน ตอนกลับบ้านคุณครูก็มีความเมตตาไปส่งที่คิวรถด้วย การมาเข้าอบรมนอกจากเราจะได้ความรู้แล้วเรายังได้ความสนุกอีกด้วย
สาระน่ารู้
การจัดสัตว์ 10 อันดับสำหรับสัตว์ที่อายุยืนที่สุดในโลก
สัตว์อายุยืนอันดับ 10 คือ “ลิง” ญาติห่างๆ ของมนุษย์ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลิงจะมีอายุเฉลี่ย 25 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 9 คือ “ช้าง” ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 60 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับการดูแล อาหารการกินและความเครียด ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบอายุขัยระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกาแล้ว พบว่า ช้างแอฟริกาที่ต้องผจญกับสัตว์ป่านานาชนิดและอาหารการกินที่ขัดสนกว่า ทำให้พวกมันเครียดและมีอายุขัยน้อยกว่าช้างเอเชีย มีบันทึกว่าประเทศญี่ปุ่นเคยมีช้างที่มีอายุมากที่สุดในโลกคือ 86 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 8 คือ สัตว์ที่ไม่มีใครอยากให้มันมีชีวิตที่ยืนยาวนักเพราะมันมักได้รับบทตัวร้ายในละครเสมอๆ นั่นคือ “อีกา” ด้วยเหตุผลที่อีกาจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดอายุขัย ทำให้มันไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้การสืบพันธุ์ยังเป็นตัวเร่ง นาฬิกาชีวภาพให้หมุนเร็วขึ้นด้วย อีกาจึงมีอายุขัยสูงถึง 90 ปี ซึ่งพบอีกว่า นกหลายๆ ชนิดก็มีอายุที่ยืนยาวไม่ต่างจากอีกามากนัก เช่น นกกระตั้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 7 คือ “กุ้งก้ามกราม” ด้วยอายุขัย 100 ปี ถือว่าอายุยืนที่สุดในสัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่มันมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานน้อย
สัตว์อายุยืนอันดับ 6 คือ “หอยมุกน้ำจืด” ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เผาผลาญพลังงานน้อย กินน้อย ใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจน้อย ทำให้มันมีอายุขัยมากกว่า 110 ปี
สำหรับ “มนุษย์” ถือได้ว่ามีอายุยืนในอันดับกลางๆ ไม่มากหรือน้อยเกืนไปคืออยู่ในอันดับ 5 โดยมีอายุขัยสูงสุด 120 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่จารึกไว้ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์และฮินดูที่ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยได้ไม่เกิน 120 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะหลังมานี้ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุทะลุ 100 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับการมีอายุยืนของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายล้วนระบุตรงกันถึง การบริโภคอย่างพอดี การออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และมีทัศนคติที่ดี
สัตว์อายุยืนอันดับ 4 คือ ปลาโบราณร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่มีไข่ที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลก นั่นคือ “ปลาสเตอร์เจียน” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า มันสามารถมีอายุได้สูงถึง 150 ปี โดยคาดกันว่าน่าจะเป็นผลมาจากยีนอายุยืนที่พิสูจน์แล้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 3 คือ “พี่เบิ้ม” สิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นคือ “ปลาวาฬในทวีปแอนตาร์กติก” ด้วยอายุขัย 200 ปี
สิ่งมีชีวิตอายุยืนอันดับ 2 คือ “เต่า” ที่มีอายุขัยประมาณ 250 ปี โดยเต่าที่มีอายุยืนที่สุดในโลกขณะนี้คือ "เต่ากาลาปากอส"ที่มีชื่อว่า “แฮเรียน” ตัวเดียวกันกับที่ “ชาร์ลส ดาร์วิน” นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องจับมันมาใช้ชีวิตเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน โดย ชาร์ลส เองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีอายุยืนกว่าเขาเองเสียอีก โดยสาเหตุที่เชื่อว่าเต่ามีอายุยืนยาวสืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวเนิบช้า และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ของมันนั่นเอง
แตน แต๊น!!! สำหรับสิ่งมีชีวิตอายุยืนที่สุดในโลกอันดับที่ 1 จะเป็นของใครไปไม่ได้เลยนอกจาก สิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตดำดิ่งอยู่ ก้นมหาสมุทรอันมืดมิดด้วยอุณหภูมิเย็นเฉียบ มันคือ “ฟองน้ำยักษ์” ซึ่งมีอายุสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10,000 ปี หรืออาจกล่าวว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตายก็ได้ และเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ฟองน้ำยักษ์มีอายุยืนที่สุดในโลก หลายคนอาจเบนหน้าหนีด้วยที่ว่ามันแทบไม่กิน และไม่กระดุกระดิกเลย จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับแซวมันว่า หากมนุษย์ต้องการที่จะมีอายุยืนแต่ต้องอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ไม่กินอาหาร และอยู่นิ่งๆ เหมือนโดนสต๊าฟไว้แล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอายุยืนเหมือนมันอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเคล็ดลับการมีอายุยืนว่า น่าจะเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตที่สงบเงียบ ความใจเย็น การมีกำลังใจ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม ระบบภูมิคุ้มกันโรคที่มีประสิทธิภาพอันเป็นผลมาจากพันธุกรรม การไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และการเผาผลาญพลังงานของร่างกายที่น้อย นอกจากนี้ ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งที่พวกเขาค้นพบคือ อายุขัยอาจไม่ได้ถูกกำหนดด้วยจำนวนวันที่เรามีชีวิตอยู่ก็ได้ หากแต่เป็นอัตราส่วนการใช้พลังงานต่อน้ำหนักหนึ่งกรัม ซึ่งหากเรามองในแง่นี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตจะมีอายุเท่ากันทุกสายพันธุ์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://pil.numplus.com/ityouth2009/frontpage/2/page/bs_bk_02.htm
สัตว์อายุยืนอันดับ 10 คือ “ลิง” ญาติห่างๆ ของมนุษย์ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลิงจะมีอายุเฉลี่ย 25 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 9 คือ “ช้าง” ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 60 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับการดูแล อาหารการกินและความเครียด ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบอายุขัยระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกาแล้ว พบว่า ช้างแอฟริกาที่ต้องผจญกับสัตว์ป่านานาชนิดและอาหารการกินที่ขัดสนกว่า ทำให้พวกมันเครียดและมีอายุขัยน้อยกว่าช้างเอเชีย มีบันทึกว่าประเทศญี่ปุ่นเคยมีช้างที่มีอายุมากที่สุดในโลกคือ 86 ปี
สัตว์อายุยืนอันดับ 8 คือ สัตว์ที่ไม่มีใครอยากให้มันมีชีวิตที่ยืนยาวนักเพราะมันมักได้รับบทตัวร้ายในละครเสมอๆ นั่นคือ “อีกา” ด้วยเหตุผลที่อีกาจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดอายุขัย ทำให้มันไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้การสืบพันธุ์ยังเป็นตัวเร่ง นาฬิกาชีวภาพให้หมุนเร็วขึ้นด้วย อีกาจึงมีอายุขัยสูงถึง 90 ปี ซึ่งพบอีกว่า นกหลายๆ ชนิดก็มีอายุที่ยืนยาวไม่ต่างจากอีกามากนัก เช่น นกกระตั้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 7 คือ “กุ้งก้ามกราม” ด้วยอายุขัย 100 ปี ถือว่าอายุยืนที่สุดในสัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่มันมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานน้อย
สัตว์อายุยืนอันดับ 6 คือ “หอยมุกน้ำจืด” ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เผาผลาญพลังงานน้อย กินน้อย ใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจน้อย ทำให้มันมีอายุขัยมากกว่า 110 ปี
สำหรับ “มนุษย์” ถือได้ว่ามีอายุยืนในอันดับกลางๆ ไม่มากหรือน้อยเกืนไปคืออยู่ในอันดับ 5 โดยมีอายุขัยสูงสุด 120 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่จารึกไว้ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์และฮินดูที่ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยได้ไม่เกิน 120 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะหลังมานี้ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุทะลุ 100 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับการมีอายุยืนของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายล้วนระบุตรงกันถึง การบริโภคอย่างพอดี การออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และมีทัศนคติที่ดี
สัตว์อายุยืนอันดับ 4 คือ ปลาโบราณร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่มีไข่ที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลก นั่นคือ “ปลาสเตอร์เจียน” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า มันสามารถมีอายุได้สูงถึง 150 ปี โดยคาดกันว่าน่าจะเป็นผลมาจากยีนอายุยืนที่พิสูจน์แล้ว
สัตว์อายุยืนอันดับ 3 คือ “พี่เบิ้ม” สิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นคือ “ปลาวาฬในทวีปแอนตาร์กติก” ด้วยอายุขัย 200 ปี
สิ่งมีชีวิตอายุยืนอันดับ 2 คือ “เต่า” ที่มีอายุขัยประมาณ 250 ปี โดยเต่าที่มีอายุยืนที่สุดในโลกขณะนี้คือ "เต่ากาลาปากอส"ที่มีชื่อว่า “แฮเรียน” ตัวเดียวกันกับที่ “ชาร์ลส ดาร์วิน” นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องจับมันมาใช้ชีวิตเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน โดย ชาร์ลส เองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีอายุยืนกว่าเขาเองเสียอีก โดยสาเหตุที่เชื่อว่าเต่ามีอายุยืนยาวสืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวเนิบช้า และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ของมันนั่นเอง
แตน แต๊น!!! สำหรับสิ่งมีชีวิตอายุยืนที่สุดในโลกอันดับที่ 1 จะเป็นของใครไปไม่ได้เลยนอกจาก สิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตดำดิ่งอยู่ ก้นมหาสมุทรอันมืดมิดด้วยอุณหภูมิเย็นเฉียบ มันคือ “ฟองน้ำยักษ์” ซึ่งมีอายุสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10,000 ปี หรืออาจกล่าวว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตายก็ได้ และเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ฟองน้ำยักษ์มีอายุยืนที่สุดในโลก หลายคนอาจเบนหน้าหนีด้วยที่ว่ามันแทบไม่กิน และไม่กระดุกระดิกเลย จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับแซวมันว่า หากมนุษย์ต้องการที่จะมีอายุยืนแต่ต้องอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ไม่กินอาหาร และอยู่นิ่งๆ เหมือนโดนสต๊าฟไว้แล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอายุยืนเหมือนมันอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเคล็ดลับการมีอายุยืนว่า น่าจะเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตที่สงบเงียบ ความใจเย็น การมีกำลังใจ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม ระบบภูมิคุ้มกันโรคที่มีประสิทธิภาพอันเป็นผลมาจากพันธุกรรม การไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหม และการเผาผลาญพลังงานของร่างกายที่น้อย นอกจากนี้ ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งที่พวกเขาค้นพบคือ อายุขัยอาจไม่ได้ถูกกำหนดด้วยจำนวนวันที่เรามีชีวิตอยู่ก็ได้ หากแต่เป็นอัตราส่วนการใช้พลังงานต่อน้ำหนักหนึ่งกรัม ซึ่งหากเรามองในแง่นี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตจะมีอายุเท่ากันทุกสายพันธุ์
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://pil.numplus.com/ityouth2009/frontpage/2/page/bs_bk_02.htm
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
เคล็ดลับง่ายๆ ของการกินอาหารเพื่อสุขภาพมาดูกันว่ามีเคล็ดลับดีๆ อะไรที่จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง
1.กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเราทำให้อาการเมาหายไปได้
2.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในฝรั่งมีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3.มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย
4.การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
5.การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในเนยมีกรดอมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสะกดให้หลับได้สนิทขึ้น
6.กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่ เพียงพอช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
7.การกินช็อกโกแลตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะโกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
8.การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะการที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารที่มี จำเป็นอยู่มากอีกด้วย
9.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะเลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารที่ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อมลง
มีเคล็ดลับดีๆ แล้วก็อย่าลืมเอาไปใช้กันนะเพื่อนๆเพื่อสุขภาพที่ดีของเพื่อนๆ
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16982/%E0%B9%81%E0%B8%89-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99...%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2.htm
1.กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเราทำให้อาการเมาหายไปได้
2.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในฝรั่งมีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3.มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย
4.การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
5.การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะในเนยมีกรดอมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสะกดให้หลับได้สนิทขึ้น
6.กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่ เพียงพอช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
7.การกินช็อกโกแลตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะโกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
8.การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะการที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารที่มี จำเป็นอยู่มากอีกด้วย
9.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือเปล่า
-เฉลย จริง เพราะเลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารที่ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อมลง
มีเคล็ดลับดีๆ แล้วก็อย่าลืมเอาไปใช้กันนะเพื่อนๆเพื่อสุขภาพที่ดีของเพื่อนๆ
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16982/%E0%B9%81%E0%B8%89-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99...%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2.htm
Diary online
วันนี้ก็เป็นเหมือนเดิม มีชีวิตที่รีบเร่งต้องแข่งขันกับเวลาและตนเอง วันนี้มีการสอบด้วยในตอนแรกนึกว่ามีสอบทั้งหมด 3 วิชาคือ คณิตศาสตร์ ภาษาไทยและเคมี แต่พอมาถึงโรงเรียนกลับพบว่าวิชาที่สอบวันนี้มีแค่วิชาเดียวคือ คณิตศาสตร์เรื่องสมการ ช่วง เซตคำตอบของอสมการ ในตอนที่สอบมีข้อสอบที่ต้องทำจำนวน 3 หน้า เห็นตอนแรกก็ตกใจมากแต่พอลงมือทำกลับไม่ยากอย่างที่คิดเพราะดิฉัน เข้าใจในบทเรียนตอนที่เรียนในห้องเรียน วันนี้ดิฉันจับกลุ่มพูดคุยกับเพื่อนประมาน 6 คน เพื่อนๆบอกว่าวันนี้เพื่อนในห้องคุยกัยเสียงดังมาก รู้สึกว่าไม่เกรงใจคุณครูเลย ในตอนแรกที่เจอหน้าคุณครูเพื่อนๆให้ความเคารพอย่างมากแต่พอคุณครูท่านใจดี เพื่อนก็ไม่ให้ความเกรงใจ มีหลายครั้งที่คุณครูบอกกล่าวตักเตือนเพื่อนๆก็จะเงียบ พอถึงคาบเรียนหน้าก็จะประพฤติเหมือนเดิม ดิฉันมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่า คนเราทุกคนควรประพฤติตนเสมอต้น เสมอปลายและก็จะเป็นที่รักของครูบาอาจารย์รวมถึงผู้ใหญ่ท่านอื่นๆด้วย
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
เพื่อนๆเคยเจออาการแบบนี้บ้างไหม เช่น คุยโทรศัพท์นานๆ แล้วรู้สึกหูของตัวเองร้อนหรือมีเลือดผสมหนองไหลออกมาจากหู ถ้าเพื่อนๆมีอาการแบบนี้ก็อ่านสาเหตุของการเกิดได้ที่นี้เลย
มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคันซึ่งเมื่อเพื่อนๆ แคะหรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้
*วิธีป้องกัน
ถ้าเพื่อนๆรู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค
หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น เพื่อนๆรู้กันรึเปล่าว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหูและการอักแสบในช่องหูได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ
อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึง ต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆจะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยเพื่อนๆจะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุได้
เพื่อนๆเห็นไหมว่า สิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรานั้นสามารถทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเองแล้วเพื่อนๆจึงควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ , เครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 ฯลฯ ให้เหมาะสมไม่มากจนเกินไป
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16973/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B0.....htm
มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคันซึ่งเมื่อเพื่อนๆ แคะหรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้
*วิธีป้องกัน
ถ้าเพื่อนๆรู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค
หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น เพื่อนๆรู้กันรึเปล่าว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหูและการอักแสบในช่องหูได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ
อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึง ต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้
*วิธีป้องกัน
เพื่อนๆจะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยเพื่อนๆจะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุได้
เพื่อนๆเห็นไหมว่า สิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรานั้นสามารถทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นเพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเองแล้วเพื่อนๆจึงควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ , เครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 ฯลฯ ให้เหมาะสมไม่มากจนเกินไป
ขอขอบคุณสาระดีๆจาก
http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16973/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B0.....htm
Diary online
วันนี้ก็เหมือนทุกวันที่ผ่านมา ชีวิตก็มีแต่การสอบเช่นเดียวในตอนนี้เพราะดิฉันเป็นนักเรียนนอกจากเรียนแล้วก็ต้องมีการทดสอบวัดความรู้วันนี้ที่มีการสอบฟิสิกส์อีกตามเคย คุณครูบอกว่า่ เจอหน้ากันเมื่อใดก็จะสอบทุกครั้งเพราะจะได้มีคะแนนมากมายและจะนำคะแนนที่ได้มาหาร ผลมันก็จะดีแต่ดิฉันก็ไม่เข้าใจว่า ผลที่ได้มันจะดีตรงไหนถ้าคนสอบไม่มีความพร้อมในการสอบ ไม่ว่าจะสอบกี่ครั้งคะแนนมันก็ได้เท่าเดิม ในวันนี้ดิฉันได้รู้คะแนนที่สอบไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานหรือเพิ่มเติม จากการรวมคะแนนทั้งที่ยังไม่ได้หารทั้งพื้นฐานและเพิ่มเติมพบว่าดิฉันมีคะแนนวิชาฟิสิกส์ทั้งหมด 51คะแนนจาก 90 คะแนนและคนที่ได้คะแนนสูงสุดในห้องได้คะแนนทั้งหมด 63 คะแนนจากทั้งหมด ดิฉันได้ฟังคุณครูบอกว่า ห้องของดิฉันจะเสียเปรียบห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องโครงการฯเพราะห้องของดิฉันจะเรียนพื้นฐานและเพิ่มเติมควบคู่กันไป ส่วนห้องอื่นจะเรียนเฉพาะพื้นฐานเท่านั้นทำให้คะแนนที่ได้ของห้องอื่นดีกว่าห้องของดิฉันแต่เมื่อคุณครูอธิบายดิฉันก็คลายความกังวลคือ เราจะเสียเปรียบห้องอื่นในตอนนี้ แต่เราจะได้เปรียบห้องอื่นในตอนที่เราเข้ามหาวิทยาลัยเพราะเนื้อหาที่เราเรียนมันลึกกว่าห้องอื่น และเกณฑ์การตัดเกรดจะใช้เกรดเดียวกันคะแนนที่ได้ก็จะดีขึ้น ดิฉันคิดทบทวนว่่าเทอมนี้ดิฉัันคงไม่ได้เกรด 4 อย่างแน่นอนแต่ในใจลึกๆดิฉันก็มีความหวังเหมือนกันว่าจะได้เกรด 4 จากที่เราตัดกำลังใจก่อนสิ่งนั้นจะเกิด มันก็จะทำให้เรารู้สึกท้อแท้ ดังนั้นดิฉันอยากให้คนที่รู้สึกท้อแท้ฮึดสู้และมีกำลังใจเพื่อที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้ก็เป็นวันที่ดิฉันกลับมาจากโรงเรียน เนื่องจากในวันที่4กันยายน - 5 กันยายน 2552ทางระดับชั้นม.4 ได้จัดกิจกรรมเข้าค่ายพุทธบุตร เป็นเวลา2วันกับอีก1คืน ในตอนแรกดิฉันคิดว่า การเข้าพุทธบุตรคงน่าจะเบื่อ ไม่สนุก แต่พอได้เข้าอบรมทำให้ดิฉันมีความสุขจนไม่อยากจะกลับบ้านเลย เพราะพระอาจารย์ที่มาเป็นวิทยากรสอนและอบรมได้สนุกๆโดยเฉพาะพระอาจารย์โตโต้ ท่านมีการสอนที่สอดแทรกความสนุกอยู่ด้วย ในการอบรมครั้งนี้ทำให้ดิฉันตระหนักเกิดการเกรงกลัวต่อบาป เพราะพระอาจารย์ได้สอนและเปิดเรื่องกฏแห่งกรรมให้ดิฉันดู ดิฉันกลัวจนร้องไห้ เพราะในเรื่องของกฏแห่งกรรมจะบอกว่าใครทำสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้นเป็นการตอบแทนเช่น ถ้าใครดื่มน้ำเมา เวลาตกนรกไปจะถูกเอาน้ำกรดที่ร้อนๆมากรอกปากแล้วน้ำกรดนั้นจะทำให้ร่างกายพุพอง เผาไหม้ร่างกายและหลังจากนั้นก็จะมีร่างกายกลับมาเป็นอย่างเดิมจนถูกกระทะไปอย่างนี้จนกว่าจะสิ้นบุญและทำให้ดิฉันรู้ว่าใครที่ตกกะทะทองแดงไปจะวนเวียนอยู่ในกะทะ ในการที่จะวน กะทะให้ครบ 1 รอบจะใช้เวลาประมาณ 30,000 ปีเมื่อเวลาผ่านคนที่อยู่ในกะทะทองแดงจะถูกนำมาดูว่าหมดกรรมหรือยัง ถ้าหมดแล้วก็จะถูกนำไปอีกภพหนึ่งแต่ถ้ายังไม่หมดจะต้องไปอยู่ในกะทะทองแดงดังเดิมจนกว่าจะหมดกรรม ตอนเวลาประมาณ 19.00 น.ดิฉันได้ถูกเรียกให้ไปส่งเสด็จพระราชินีหลังจากรับเสด็จตอน 17.00 น. ในครั้งแรกที่รับเสด็จดิฉันมองเห็นท่านไม่ค่อยชัดแต่พอเวลาส่งเสด็จท่านดิฉันมองเห็นท่านอย่างชัดเจน ท่านโบกมือและหันมายิ้มด้วยท่านสวยมาก สวยกว่าใน TVเสียอีกในตอนนั้นดิฉันทำอะไรไม่ถูกเลยนอกจากยิ้มและยกเทียนให้แสงสว่าง ดิฉันรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เพื่อนๆพูดว่า "ทรงพระเจริญ"ดิฉันพูดตามเพื่อนแล้้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างปลื้มปิติที่มีบุญได้เห็นท่าน หลังจากส่งเสด็จดิฉันก็ขึ้นไปฟังการบรรยายธรรมะต่อ ดิฉันรู้สึกว่าในการอบรมครั้งนี้ไม่ใช่แค่สอนเรื่องกฏแห่งกรรมเท่านั้นแต่ยังเป็นการสอนให้เรารู้จักบุญคุณของพ่อแม่โดยพระอาจารย์ท่านจะเปิดเพลงและให้เราร้องตาม ในตอนแรดดิฉันก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอคิดถึงพระคุณของพ่อแม่ดิฉันก็ร้องไห้จนตาบวมแล้ว ดิฉันรู้สึกดีใจที่พ่อแม่ของดิฉันยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเราควรทำดีกับท่าน และผลดีแล้วก็จะสนองเราเอง ในตอนก่อนที่จะกลับบ้านพระอาจารย์ก็ให้ดิฉันจับมือกับเพื่อนๆ ในตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าพอมาจับกันเป็นกลุ่มใหญ่เป็นเพื่อนห้อง 9เดิมความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นคือ ความคิดถึง ความทรงจำที่ดีๆมันก็เกิด ทำให้ดิฉันร้องไห้อีกครั้ง ในการมาเข้าค่ายพุทธบุตรครั้งนี้ดิฉันได้สิ่งต่างๆกลับมามากมาย ถ้าดิฉันมีโอกาสอีก ดิฉันอยากจะมาเข้าค่ายพุทธบุตรอีกครั้ง
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552
สาระน่ารู้
อ่านหนังสืออย่างไรให้จำแม่น
โดยเคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่ายๆ นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับวิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ
1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้
8.1 ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
8.2 ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ
เคล็ดลับ การเรียนเก่ง
1. คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนเช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกันให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือเพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยมและจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดี
2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1-2 ชม.ก็เกินพอแต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างหนึ่งแล้ว ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุด
3. ที่ว่า 1-2ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรเช่นจะอ่านวันละ 2ชม.แต่แบ่งเป็น 4 ยกครั้งละ 25-30นาที
และพัก 5- 10 นาที
4. อ่านจบวันหนึ่ง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะสรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร
5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดี
ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาเช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้างเช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่าwhere do you go? อะไรเป็นต้นแล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาอังกฤษยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งทีก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ
7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกล
แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยจากนั้นให้รีบหาแบบฝึกหัดมาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อนจากนั้นค่อยเสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มหนึ่งมาอ่านเนื้อหาให้หมดอีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด สำคัญคือความตั้งใจต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้วทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิดสุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่าต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้นมองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิดขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมาในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบทเช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกิน
จากนั้นทิ้งตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลย
8.สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวง เด็กสมัยใหม่นี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิกนั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเรา เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนามุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไรต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ ดังนั้น จากข้อ 7 เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้วให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมองโดยทำดังต่อไปนี้
ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้งจนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิกทำ ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์
9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ คือกระบวนการสอบแข่งขัน
ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเองเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่าก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้ซัก 1-2 ปี รู้ผลแน่ รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้นแน่นอน อันดับระดับประเทศก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก
อ้อ ลืมบอกไป สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด
ขอขอบคุณสาระดีๆจากhttp://blog.eduzones.com/diaw30/22324
โดยเคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่ายๆ นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับวิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ
1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้
8.1 ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
8.2 ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ
เคล็ดลับ การเรียนเก่ง
1. คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนเช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกันให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือเพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยมและจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดี
2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1-2 ชม.ก็เกินพอแต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างหนึ่งแล้ว ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุด
3. ที่ว่า 1-2ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรเช่นจะอ่านวันละ 2ชม.แต่แบ่งเป็น 4 ยกครั้งละ 25-30นาที
และพัก 5- 10 นาที
4. อ่านจบวันหนึ่ง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะสรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร
5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดี
ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาเช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้างเช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่าwhere do you go? อะไรเป็นต้นแล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาอังกฤษยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งทีก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ
7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกล
แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยจากนั้นให้รีบหาแบบฝึกหัดมาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อนจากนั้นค่อยเสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มหนึ่งมาอ่านเนื้อหาให้หมดอีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด สำคัญคือความตั้งใจต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้วทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิดสุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่าต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้นมองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิดขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมาในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบทเช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกิน
จากนั้นทิ้งตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลย
8.สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวง เด็กสมัยใหม่นี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิกนั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเรา เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนามุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไรต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ ดังนั้น จากข้อ 7 เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้วให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมองโดยทำดังต่อไปนี้
ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้งจนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิกทำ ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์
9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ คือกระบวนการสอบแข่งขัน
ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเองเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่าก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้ซัก 1-2 ปี รู้ผลแน่ รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้นแน่นอน อันดับระดับประเทศก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก
อ้อ ลืมบอกไป สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด
ขอขอบคุณสาระดีๆจากhttp://blog.eduzones.com/diaw30/22324
งานภาษาไทย
หยกมักจะย้อนคิดถึงวัยเด็กที่มีเพียงเขาและ ก๋ง ทุกครั้งก๋งเป็นช่างฝีมือ ประกอบอาชีพหลักคืองานจักรสาน เป็นวิชาที่ติดตัวมาจากเมืองจีนความคิดอ่านที่กว้างไกลและความเมตตาของก๋ง ทำให้ก๋งได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนมากมายในชุมชนห้องแถวที่อาศัยอยู่ ซึ่งผลบุญนี้ได้ตกมาถึงหยก หยกเติบโตอย่างอบอุ่นภายใต้การเลี้ยงดูของก๋ง การที่เขามีก๋งคอยให้ความรักกับเขาอย่างแท้จริงที่ทำให้เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว ชุมชนห้องแถวที่ก๋งและหยกอาศัยอยู่เป็นแหล่งรวมคนจีนมากหน้า เพื่อนบ้านที่สนิทกันอยู่ก็คือ เง็กจูซึ่งเป็นที่ยึดติดกับธรรมเนียมจีนอย่างเหนียวแน่น และไม่ค่อยยอมรับความเปลี่ยนแปลง เง็กจูมีลูกชายคือ เพ้ง และลูกสาวคือเกียหลายครั้งที่เง็กจูมีปัญหากับลูก ก๋งจะเป็นคนคอยแก้ปัญหาให้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เกียวแหกประเพณีเดิมของผู้หญิงจีน หนีไปเรียนภาคค่ำหรือตอนที่เพ้งรับ นวล ภรรยาคนไทยเข้าบ้าน จนเง็กจูขู่จะฆ่าตัวตาย ก๋งเป็นคนชี้ทางสว่างให้เง็กจูเห็นและยอมปรับทัศนคติเพื่ออยู่ร่วมกับลูกหลานในโลกปัจจุบันให้ได้ หรือแม้แต่คนไทยบางคนที่มาเช่าบ้านอยู่ในชุมชนจีนนี้ ก๋งก็เป็นคนจีนคนเดียวที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ขณะที่คนจีนคนอื่นๆ ตั้งแง่รังเกียจ หาญ กับจำเรียง หนุ่มสาวที่วิวาห์เหาะมาจากกรุงเทพฯ
ชีวิตของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาอยู่อาศัยบนแผ่นดินไทย ให้แผ่นดินไทยเป็นที่อยู่ ที่ทำมาหากินและบ้างก็ให้เป็นที่ฝังกลบคราสิ้นชีวิต ซึ่งคนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า " คนจีนชีวิตของก๋งบนแผ่นดินไทย คือชีวิตของชายชราผู้หนึ่งที่พลัดจากบ้านเกิดเมืองนอนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ไทย ก๋งเป็นคนจีนแท้ที่จากเมืองจีนตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แม้ก๋งจะเป็นคนจีนแต่ก๋งก็ปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองไทยคือเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายไทย รักแผ่นดินไทย เข้าใจคนไทย เทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ไทย และก๋งไม่เคยที่จะลืมขนบธรรมเนียมประเพณี พร้อมทั้งกฎแห่งกรรมตามความเชื่อประเพณีเก่าของจีน อีกทั้งก๋งยังเป็นบุคคลตัวอย่าง คือเป็นคนที่สามารถสงวนวัฒนธรรมดั้งเดิมอันเป็นสิ่งที่ดีงามของประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองไว้ นอกจากนั้นยังยอมรับวัฒนธรรมไทยซึ่งเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่ไม่ขัดกับวัฒนธรรมเดิมของก๋งได้ ตัวอย่างหนึ่งที่จะยืนยันถึงการยอมรับวัฒนธรรมของก๋งคือ "ธรรมเนียมมันเกิดเพราะคนเป็นผู้กำหนดไม่ใช่หรือ เมื่อกำหนดขึ้นมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปได้ และอย่าลืมว่าธรรมเนียมของคนแต่ละชาติแต่ละภาษาไม่เหมือนกัน คนสองคนนี้ผิด ถ้าเราคิดแต่ยึดถือธรรมเนียม แต่การหาคู่ของเราธรรมเนียมไม่ได้เป็นผู้กำหนด ธรรมชาติต่างหากละที่เป็นผู้กำหนด" หยกตัวแทนของเด็กชาวจีนที่เกิดในเมืองไทย เมื่อได้รับการเลี้ยงดูและสั่งสอนจากผู้มีคุณธรรมอย่างก๋ง หยกจึงเป็นตัวแทนของเด็กไทยเชื้อสายจีนที่สำนึกอย่างแน่นแฟ้นถึงความเป็นไทยซึ่งจะเห็นได้จากคำกล่าวหนึ่งที่ว่า "ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างยิ่งว่า คนจีนในเมืองไทยทั้งมวลรักแผ่นดินนี้ รู้บุญคุณและกตัญญูต่อร่มเงาที่ให้ความเกษมสุขและให้เสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยมจนกล่าวได้เต็มปากว่า “ไม่เคยมีแผ่นดินไหนให้ความสุขคนจีนได้เท่ากับที่ได้รับจากแผ่นดินไทย ”
คำสอนของก๋ง
“สิ่งที่เราทำด้วยใจรักคือสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งอาจจะไม่ใช่งานที่ให้ผลประโยชน์กับเรามากที่สุด”
“งานที่ไม่ดีเท่าที่ควรจะตัดทางทำมาหากินของเราเอง เขาจะจ้างเราก็เพียงครั้งเดียว แต่ถ้าเราทำงานให้เขาดีๆ เป็นที่พอใจแล้ว ถึงเขาจะไม่มีงานใหม่มาให้เราทำ เขาก็ยังเต็มอกเต็มใจแนะนำลูกค้ารายใหม่มาให้เรา.. คนที่ทำงานลวกๆ พอให้เสร็จๆ ไป จะหากินได้รายละครั้งเดียวเท่านั้นเอง ไม่มีใครมาจ้างซ้ำสองซ้ำสามอีก”
“งานที่มีเวลาคิดมากๆ เวลาลงมือจริงๆ แล้วจะง่ายขึ้น..”
“คนที่เจ้านายไม่เรียกใช้สิ น่าจะต้องสำรวจตัวเองว่ามีความบกพร่องประการใด หรือด้อยความสามารถตรงไหนต่างหาก ไม่ใช่เที่ยวอิจฉาตาร้อนคนที่ก้าวไปข้างหน้าเร็วกว่าตัวเอง ที่เอาแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่เดิม...”
“คนที่ไม่มีการศึกษาจากโรงเรียนเป็นพื้นฐาน หากมีความพยายามความหมั่นเพียรเป็นสรณะแล้ว เขาก็จะสามารถหาวิชาใส่ตัวได้ เพราะวิชาชีพบางอย่างเรียนรู้ได้จากการใช้ความสังเกต การลงมือทดลองทำเอง และการทำบ่อยครั้งขึ้นเพื่อสะสมประสบการณ์ แล้วในบั้นปลายมันจะกลายเป็นความชำนาญไปเอง.. ความชำนาญนี้เองจะเป็นสมบัติติดตัวตลอดไป”
“คนที่เสียเงินซื้อของ เขาก็ต้องการของดีที่สุด... เราอยากได้ลูกค้าต่อไปเราก็ต้องทำงานให้เขาดีที่สุด ให้เขาพอใจที่สุด คำชมเชยของพวกลูกค้าคือพรสำหรับเรา”
“คนที่ไม่เป็นระเบียบ ชีวิตจะยุ่งเหยิง คนที่ไม่รักความสะอาดจะหาความสดชื่นแจ่มใสไม่ได้ และคนที่ไม่รักความสุจริต ชีวิตจะมีมลทิน”
“เขาเอื้อเฟื้อเรา เราก็ต้องตอบแทนเขาบ้าง เขาจะได้เห็นชัดว่าความดีที่เขาประกอบขึ้นได้รับผลตอบสนองทันตา ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า...”
“การตอบแทนบุญคุณทำได้หลายรูป... แต่รูปที่เหมาะสมที่สุดคือ ต้องให้สะดวกใจทั้งผู้ให้และสบายใจทั้งผู้รับ”
“น้ำใจไมตรีแลกได้ทุกสิ่งที่ประสงค์” “ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลวเราเลือกทำเลือกเว้นได้ ” “ คนที่ไม่เป็นระเบียบ ชีวิตจะยุ่งเหยิง คนที่ไม่รักความสะอาด จะหาความสดชื่นแจ่มใสไม่ได้ และคนที่ไม่รักความสุจริต ชีวิตจะมีมลทิน ” “ ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลวเราเลือกทำเลือกเว้นได้ ”“ไม่ใช่ว่าดวงดีแล้วจะร่ำรวยได้ ก่อนจะสร้างตัวได้สำเร็จเขาจะต้องผ่านการทำงานอย่างหนักมาแล้วด้วย รู้จักหาเงิน รู้จักเก็บงำ รู้จักคิดหาช่องทางต่อทุน ฐานะของเขาจึงเป็นปึกแผ่นขึ้นมาได้ ไม่มีใครโชคดีถึงกับนอนขี้เกียจอยู่ข้างถนนแล้วเทวดาจะโยนถุงเงินลงมาให้ถังน้าตัก...จำไว้"
“ เขาไม่อยากเป็นเพื่อนกับเราก็ตามใจเขา แต่อย่าไปโกรธหรือเกลียดชังเขา ในโรงเรียนและในตลาดเรายังหาเพื่อนที่จะคบเราอย่างจริงใจได้อีกมากมาย ขอให้เราเป็นคนดีเท่านั้น” “ ความจริงของคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ความจริงของคนทั้งหมด" “ เรียนไปเถอะหยก คนจนต้องหาวิชาไว้เลี้ยงตัว เพราะไม่มีเงินทองไว้ให้ใช้สอยโดยไม่ต้องทำงาน ตอนเด็กทุกคนมีหน้าที่เรียน โตแล้วทำงาน...คนมีวิชาติดตัวยากนักที่จะอับจน แพ้คนยาก และไม่เสียเปรียบใครด้วย ถ้าไม่มีวิชาติดตัวเลยจะทำงานสูงๆ อะไรก็ไม่ได้ ต้องเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ติดอยู่กับดินกับทรายตลอดชีวิต...พยายามเรียนไปเถอะหยก หมดสมองที่จะเรียนเมื่อไรค่อย หยุด" “ การตอบแทนบุญคุณทำได้หลายรูป...แต่รูปที่เหมาะที่สุดคือต้องให้สะดวกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ คนไม่ผิดผมลงโทษไม่ได้ แต่คนผิดผมไม่ลงโทษให้ได้ ”
ชีวิตของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาอยู่อาศัยบนแผ่นดินไทย ให้แผ่นดินไทยเป็นที่อยู่ ที่ทำมาหากินและบ้างก็ให้เป็นที่ฝังกลบคราสิ้นชีวิต ซึ่งคนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า " คนจีนชีวิตของก๋งบนแผ่นดินไทย คือชีวิตของชายชราผู้หนึ่งที่พลัดจากบ้านเกิดเมืองนอนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ไทย ก๋งเป็นคนจีนแท้ที่จากเมืองจีนตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แม้ก๋งจะเป็นคนจีนแต่ก๋งก็ปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองไทยคือเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายไทย รักแผ่นดินไทย เข้าใจคนไทย เทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ไทย และก๋งไม่เคยที่จะลืมขนบธรรมเนียมประเพณี พร้อมทั้งกฎแห่งกรรมตามความเชื่อประเพณีเก่าของจีน อีกทั้งก๋งยังเป็นบุคคลตัวอย่าง คือเป็นคนที่สามารถสงวนวัฒนธรรมดั้งเดิมอันเป็นสิ่งที่ดีงามของประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองไว้ นอกจากนั้นยังยอมรับวัฒนธรรมไทยซึ่งเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่ไม่ขัดกับวัฒนธรรมเดิมของก๋งได้ ตัวอย่างหนึ่งที่จะยืนยันถึงการยอมรับวัฒนธรรมของก๋งคือ "ธรรมเนียมมันเกิดเพราะคนเป็นผู้กำหนดไม่ใช่หรือ เมื่อกำหนดขึ้นมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปได้ และอย่าลืมว่าธรรมเนียมของคนแต่ละชาติแต่ละภาษาไม่เหมือนกัน คนสองคนนี้ผิด ถ้าเราคิดแต่ยึดถือธรรมเนียม แต่การหาคู่ของเราธรรมเนียมไม่ได้เป็นผู้กำหนด ธรรมชาติต่างหากละที่เป็นผู้กำหนด" หยกตัวแทนของเด็กชาวจีนที่เกิดในเมืองไทย เมื่อได้รับการเลี้ยงดูและสั่งสอนจากผู้มีคุณธรรมอย่างก๋ง หยกจึงเป็นตัวแทนของเด็กไทยเชื้อสายจีนที่สำนึกอย่างแน่นแฟ้นถึงความเป็นไทยซึ่งจะเห็นได้จากคำกล่าวหนึ่งที่ว่า "ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างยิ่งว่า คนจีนในเมืองไทยทั้งมวลรักแผ่นดินนี้ รู้บุญคุณและกตัญญูต่อร่มเงาที่ให้ความเกษมสุขและให้เสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยมจนกล่าวได้เต็มปากว่า “ไม่เคยมีแผ่นดินไหนให้ความสุขคนจีนได้เท่ากับที่ได้รับจากแผ่นดินไทย ”
คำสอนของก๋ง
“สิ่งที่เราทำด้วยใจรักคือสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งอาจจะไม่ใช่งานที่ให้ผลประโยชน์กับเรามากที่สุด”
“งานที่ไม่ดีเท่าที่ควรจะตัดทางทำมาหากินของเราเอง เขาจะจ้างเราก็เพียงครั้งเดียว แต่ถ้าเราทำงานให้เขาดีๆ เป็นที่พอใจแล้ว ถึงเขาจะไม่มีงานใหม่มาให้เราทำ เขาก็ยังเต็มอกเต็มใจแนะนำลูกค้ารายใหม่มาให้เรา.. คนที่ทำงานลวกๆ พอให้เสร็จๆ ไป จะหากินได้รายละครั้งเดียวเท่านั้นเอง ไม่มีใครมาจ้างซ้ำสองซ้ำสามอีก”
“งานที่มีเวลาคิดมากๆ เวลาลงมือจริงๆ แล้วจะง่ายขึ้น..”
“คนที่เจ้านายไม่เรียกใช้สิ น่าจะต้องสำรวจตัวเองว่ามีความบกพร่องประการใด หรือด้อยความสามารถตรงไหนต่างหาก ไม่ใช่เที่ยวอิจฉาตาร้อนคนที่ก้าวไปข้างหน้าเร็วกว่าตัวเอง ที่เอาแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่เดิม...”
“คนที่ไม่มีการศึกษาจากโรงเรียนเป็นพื้นฐาน หากมีความพยายามความหมั่นเพียรเป็นสรณะแล้ว เขาก็จะสามารถหาวิชาใส่ตัวได้ เพราะวิชาชีพบางอย่างเรียนรู้ได้จากการใช้ความสังเกต การลงมือทดลองทำเอง และการทำบ่อยครั้งขึ้นเพื่อสะสมประสบการณ์ แล้วในบั้นปลายมันจะกลายเป็นความชำนาญไปเอง.. ความชำนาญนี้เองจะเป็นสมบัติติดตัวตลอดไป”
“คนที่เสียเงินซื้อของ เขาก็ต้องการของดีที่สุด... เราอยากได้ลูกค้าต่อไปเราก็ต้องทำงานให้เขาดีที่สุด ให้เขาพอใจที่สุด คำชมเชยของพวกลูกค้าคือพรสำหรับเรา”
“คนที่ไม่เป็นระเบียบ ชีวิตจะยุ่งเหยิง คนที่ไม่รักความสะอาดจะหาความสดชื่นแจ่มใสไม่ได้ และคนที่ไม่รักความสุจริต ชีวิตจะมีมลทิน”
“เขาเอื้อเฟื้อเรา เราก็ต้องตอบแทนเขาบ้าง เขาจะได้เห็นชัดว่าความดีที่เขาประกอบขึ้นได้รับผลตอบสนองทันตา ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า...”
“การตอบแทนบุญคุณทำได้หลายรูป... แต่รูปที่เหมาะสมที่สุดคือ ต้องให้สะดวกใจทั้งผู้ให้และสบายใจทั้งผู้รับ”
“น้ำใจไมตรีแลกได้ทุกสิ่งที่ประสงค์” “ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลวเราเลือกทำเลือกเว้นได้ ” “ คนที่ไม่เป็นระเบียบ ชีวิตจะยุ่งเหยิง คนที่ไม่รักความสะอาด จะหาความสดชื่นแจ่มใสไม่ได้ และคนที่ไม่รักความสุจริต ชีวิตจะมีมลทิน ” “ ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลวเราเลือกทำเลือกเว้นได้ ”“ไม่ใช่ว่าดวงดีแล้วจะร่ำรวยได้ ก่อนจะสร้างตัวได้สำเร็จเขาจะต้องผ่านการทำงานอย่างหนักมาแล้วด้วย รู้จักหาเงิน รู้จักเก็บงำ รู้จักคิดหาช่องทางต่อทุน ฐานะของเขาจึงเป็นปึกแผ่นขึ้นมาได้ ไม่มีใครโชคดีถึงกับนอนขี้เกียจอยู่ข้างถนนแล้วเทวดาจะโยนถุงเงินลงมาให้ถังน้าตัก...จำไว้"
“ เขาไม่อยากเป็นเพื่อนกับเราก็ตามใจเขา แต่อย่าไปโกรธหรือเกลียดชังเขา ในโรงเรียนและในตลาดเรายังหาเพื่อนที่จะคบเราอย่างจริงใจได้อีกมากมาย ขอให้เราเป็นคนดีเท่านั้น” “ ความจริงของคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ความจริงของคนทั้งหมด" “ เรียนไปเถอะหยก คนจนต้องหาวิชาไว้เลี้ยงตัว เพราะไม่มีเงินทองไว้ให้ใช้สอยโดยไม่ต้องทำงาน ตอนเด็กทุกคนมีหน้าที่เรียน โตแล้วทำงาน...คนมีวิชาติดตัวยากนักที่จะอับจน แพ้คนยาก และไม่เสียเปรียบใครด้วย ถ้าไม่มีวิชาติดตัวเลยจะทำงานสูงๆ อะไรก็ไม่ได้ ต้องเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ติดอยู่กับดินกับทรายตลอดชีวิต...พยายามเรียนไปเถอะหยก หมดสมองที่จะเรียนเมื่อไรค่อย หยุด" “ การตอบแทนบุญคุณทำได้หลายรูป...แต่รูปที่เหมาะที่สุดคือต้องให้สะดวกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ คนไม่ผิดผมลงโทษไม่ได้ แต่คนผิดผมไม่ลงโทษให้ได้ ”
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้เป็นวันแรกที่กลับสู่ภาวะปกติหลังจากมีสัปดาห์กีฬาสี วันนี้ก็มีการบ้านมากมายอีกตามเคยโดยเฉพาะวิชาชีววิทยา คุณครูส่งงานทั้งหมด5งานได้แก่ สรุปการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสและไมโทซิส หาข้อแตกต่างระหว่างไมโอซิสกับไมโทซิส คำถามในบทเรียนและกิจกรรม4.6ดิฉันไม่แน่ใจว่าคุณครูจะให้ส่งงานทั้งหมดวันไหนแต่สิ่งที่ดิฉันต้องทำก็คือ ต้องทำงานทั้งหมดให้เสร็จภายในวันพุธที่จะถึงก่อนจะเข้าห้องเรียน ถึงวันนี้จะมีการบ้านมากแต่ดิฉันก็มีความสุขที่ได้ทำสิ่งบางอย่างสำเร็จคือการใช้กล้องจุลทรรศน์ ในครั้งแรกที่ดิฉันใช้กล้องจุลทรรศน์ดิฉันไม่ค่อยมีความมั่นใจซักเท่าใด เพราะกล้องจุลทรรศน์มีราคาแพงดิฉันกลัวที่จะทำเสีย แต่ดิฉันคิดว่าถ้าเรายังกลัวและไม่กล้าทำสิ่งนั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเราก็จะไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ตื่นเต้นมากเพราะวันนี้ดิฉันจะต้องไปสอบโอลิมปิกวิชาการหรือรู้จักกันในชื่อ สอวน.ที่ศูนย์สอบในเขตของจังหวัดเพชรบุรีคือโรงเรียนพรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี ดิฉันมีความตั้งใจสูงสุด อาจเรียกได้ว่าเป็นการตั้งความหวังที่สำคัญที่สุด เนื่องจากในการทดสอบแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นการสอบ Top test สอบเสริมปัญญา ดิฉันยอมรับว่าได้ทุ่มเทไม่ค่อยเต็มที่ซักเท่าไร แต่ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นครั้งสำคัญที่ดิฉันตั้งใจสอบมากๆ อ่านหนังสือเป็นระยะเวลาเป็นเดือนๆและทำแบบฝึกหัดเป็นประจำ ดิฉันตั้งใจว่าถ้าดิฉันสามารถสอบเข้าค่าย สอวน.ได้ พ่อแม่ก็คงภูมิใจ เมื่อดิฉันได้เล่าถึงความตั้งใจและมุ่งมั่นให้แม่ฟัง แม่บอกว่า " ลูกคาดหวังและทำให้เป็นจริงได้ แต่ลูกต้องเผื่อใจไว้บ้าง ถ้าลูกสอบไม่ติดและไม่ว่าลูกจะสอบติดหรือไม่แม่ก็ภูมิใจในตัวลูกเสมอ " คำพูดของแม่นี้ทำให้เป็นแรงกำลังใจให้ดิฉันในการสอบ และดิฉันคิดว่าดิฉันต้องทำให้ได้ เมื่อถึงห้องสอบดิฉันดูข้อสอบแล้วใจก็ห่อเหี่ยวเพราะข้อสอบยากมากถึงมากที่สุดแต่เมื่อดิฉันนึกถึงคำพูดของแม่ทำให้ดิฉันมีกำลังใจในการทำข้อสอบ ไม่ว่าผลสอบจะออกมาเป็นอย่างไรดิฉันก็ภูมิใจที่ดิฉ้นทำอย่างเต็มความสามารถของดิฉันแล้ว
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้ดิฉันไม่ค่อยเหนื่อยซักเท่าไร เพราะดิฉันไม่ได้ลงแข่งขันกีฬาใดเลยหลายคนอาจมองว่าดิฉันเห็นแก่ตัวและไม่ให้ความร่วมมือกับคณะสีแต่ที่ดิฉันไม่ลงเล่นกีฬาเพราะคุณครูบางท่านนัดให้ไปทำงานบางอย่าง เนื่องจากเวลาเรียนไม่พอแต่พอเสร็จธุระแล้วดิฉันก็ไปร่วมเชียร์เพื่อนๆที่เล่นกีฬา สนุกมากๆโดยเฉพาะกรีฑา เวลาเพื่อนวิ่งแล้วชนะดิฉันดีใจกับเขาด้วย เมื่อเขาแพ้ดิฉันก็เศร้าใจเหมือนกันแต่อย่างที่ว่ากีฬาทุกชนิดมี แพ้-ชนะปะปนกันไป เราไม่ควรยึดติดว่า เราต้องชนะแค่เรามีความสุขที่ได้ลงแข่งขันก็พอแล้ว เมื่อวานดิฉันไปเดินขบวนพาเหรดด้วย โดยเป็นคนถือป้ายคำขวัญโรงเรียน ดิฉันดีใจมากเพราะเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้รับเลือกให้เดินขบวนพาเหรด ดิฉันต้องตื่นนอนตั้งแต่ตี 2 เพราะจะต้องไปแต่งหน้า ทำผมเพื่อให้ทันกับขบวนพาเหรดที่จะออกจากศาลากลางตอน 7.30น. ในตอนแรกๆก็รู้สึกง่วงนอนมากแต่พอไปถึงศาลากลางกลับรู้สึกตรงข้ามคือ ตื่นเต้นมากๆ หลังจากขบวนพาเหรดเลิกดิฉันก็ไปเชียร์เพื่อนๆที่แข่งขัน ดิฉันรู้สึกว่า การที่นักกีฬาจะแข่งขันชนะได้นั้น ไม่ใช่อยู่ที่นักกีฬามีความสามารถอย่างเดียวเท่านั้นแต่อยู่ที่กองเชียร์ด้วยที่จะการส่งกำลังใจไปเชียร์ มาก-น้อยแค่ไหน และแล้วเวลาที่ตื่นเต้นก็มาถึงคือเวลาการประกาศรางวัลต่างๆแต่ที่จะเป็นจุดสำคัญที่สุดอยู่ที่การประกาศรางวัลถ้วยรวมและสีที่ชนะก็คือ...สีฟ้า ดิฉันคิดว่าเขาสมควรแล้วที่จะได้รางวัลนี้เพราะเขาทุ่มเทแรงและกำลังใจไปเชียร์สีของเขาอย่างสุดๆ แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรในวันกีฬาทุกคนก็คือผู้ชนะ เราอย่าคิดว่าเราแพ้ถึงเราจะแพ้แต่เราก็แพ้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่แพ้เพราะการยอมแพ้
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้เป็นวันที่ดิฉันมีความสุขอีกวันหนึ่ง เพราะเนื่องจากจะไม่มีการบ้านแล้วยังมีเวลาเต็มที่กับการดูการแข่งขันกีฬา วันที่งานที่ดูจะเป็นไฮไลท์ของวันคือ การแข่งขันเต้นแอโรบิกทุกสีมีความพร้อมเพรียงและมุ่งมั่นมากในการแข่งขัน ตอนที่ดิฉันมาโรงเรียนในวันเสาร์ดิฉันเห็นพวกเขามาซ้อมเต้นแอโรบิกด้วยทำให้ดิฉันคิดว่า การที่เราต้องการที่จะเอาชนะสิ่งใดสิ่งหนึง เราจะต้องทุ่มเทและตั้งใจที่จะทำให้ดีที่สุด เพราะเราจะได้ไม่เสียดายภายหลังว่า " ถ้าเราตั้งใจทำมันก็คงจะเป็นอย่างที่เราหวัง " และการที่ดิฉันได้ดูการแข่งขันเต้นแอโรบิกในครั้งนี้ทำให้ดิฉันมีความมุ่งมั่นในการอ่านหนังสือเพราะวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ดิฉันต้องไปสอบสอวน.เพื่อวัดความรู้ที่เรามีและที่วันนี้ดิฉันดีใจมากคือดิฉันได้ฝันถึง " แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ " ซึ่งเขาเป็บแบบอย่างที่ดิฉันต้องการเอามาเป็นแบบอย่างแต่ทั้งนี้และทั้งนั้นเราทุกคนควรเป็นตัวของตัวเอง ไม่ควรทำตัวให้เหมือนกันคนอื่นเพราะนอกจากเราจะเปลี่ยนแปลงยากแล้ว เรายังไม่มีความสุขที่จะเลิกทำพฤติกรรมที่เราทำเป็นประจำ
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้เป็นวันที่ดิฉันมีความสุขที่สุด เพราะวันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายสัปดาห์ของการเปิดเรียนที่ไม่มีการบ้านเนื่องจากสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์กีฬาสีทำให้คุณครูไม่ได้สั่งการบ้านแต่ท่านสั่งให้ส่งหลังกีฬาสีเกือบจะทุกอย่าง(ท่านสั่งการบ้านก่อนสัปดาห์กีฬาสีหลายอย่างมาก)วันนี้ดิฉันไม่ค่อยได้ไปดูเพื่อนๆเล่นกีฬาซักเท่าไรเพราะดิฉันติดธุระบางอย่างแต่ดิฉันไม่ได้ไม่สนใจการแพ้-ชนะของสี ดิฉันถามเพื่อนที่เขาไปดูกีฬาสีว่า "สีของเราเป็นอย่างไรบ้าง"และดิฉันก็รู้สึกดีใจในหลายๆครั้งที่มีเพื่อนมาบอกว่าสีของเราชนะ แต่ก็รู้สึกเศร้าใจบ้างในบางครั้งที่มีเพื่อนมาบอกว่าสีของเราแพ้ แต่อย่างไรก็ตามการเล่นกีฬาไม่ได้สำคัญอยู่ที่ว่าใครเล่นแพ้ ใครเล่นชนะแต่มันสำคัญที่ว่าเราเล่นแล้วเรามีความสุขที่ได้เล่น เล่นแล้วความสัมพันธ์อันดีเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการให้อภัยกันและกัน ความสามัคคีเป็นต้นทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเกิดได้เพราะเราเป็นคนทำให้มันเกิด เช่นเดียวกับความสัมพันธ์อย่างดีที่มันจะเกิดจากตัวเราเอง
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552
writting เรื่อง A good feeling with my mother
When I was born I think my family have love and happy like other family because my familyhave my parents,me,brother and sister.They give love,care and pay attention to me.I am so proud that I was born my family I think to have someone who's amost die for me.She is my mother.She works hard and makes everything for children. My mother used to tell storys about her life to me.She lived in ghtto.She lived difficultly because my grandmother was dead when she was young so my mother had my grandfather only.My mother didn't want anything except love from my grandfather.My mother must to walk to school about 5 km. because she didn't have bicycle but my grandfather told to her "the success will have if you are concentrate".My mother had a little dream.She wanted to be a nurse because she wanted to help people so she studied hard f0r a good future.Now,my mother bring instruction and good way's of my grandfather to teaches me example:purpose, attempt, honesty, patient and my mother says "The children should obey their parents and attend to study for good future"when I have problem,my mother willgive advice and willpower me.Sometime I make a mistake,my mother neverpunish violently but teaches in good thing.I have a good mother.Today I want to tell loudly with my mother " I love you than everything in the world "
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ทุกคนจะต้องไปโรงเรียนเพื่อค้นคว้าหาความรู้ใส่ตัวอยู่เสมอ ไม่จำเป็นว่าคนที่เรียนสูงๆจะประสบความสำเร็จได้ ทุกคน คนที่เรียนน้อยก็สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่ถ้าว่ากันด้วยเหตุและผลคนที่เรียนสูงๆก็จะมีโอกาสมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความสำเร็จไม่ได้มากันง่ายๆ มันจะเกิดจากความตั้งใจของเราที่มีมาก - น้อยเพียงใด วันนี้ไม่ได้เรียนวิชาเคมีซึ่งเป็นวิชาที่ดิฉันชอบ เพราะวันพฤหัสบดีที่จะถึงคุณครูที่สอนวิชาฟิสิกส์ท่านไม่ว่าง จึงขอแลกคาบเรียนกับคุณครูที่สอนวิชาเคมี ทำให้วันนี้ไม่ค่อยสนุกสนานสักเท่าใดแต่อย่างไรก็เสียเราเป็นนักเรียนก็ต้องศึกษาเล่าเรียน ถึงแม้ว่าวิชาที่เราต้องเรียนนั้นจะเป็นวิชาที่เราไม่ชอบเรียนก็ตามและเพื่ออนาคตที่ดีเราก็ต้องตั้งใจเล่าเรียน เพราะถ้าผลการเรียนของเราออกมาดีนอกจากเราจะภูมิใจในตัวเองแล้วก็ยังจะเป็นที่ภูมิใจของพ่อแม่ด้วย ด้วยเหตุนี้ดิฉัํนจึงอดทนและตั้งใจมากขึ้น เพื่อวันข้างหน้าที่สดใส
วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552
บอกรักแม่
ในวันแม่ เราในฐานะลูกเราควรที่จะไปหาแม่บ้างต่อให้งานของเราจะยุ่งเพียงใด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราไม่ใช่งานหรือสิ่งอื่น แต่เป็นแม่คนเดียวที่ให้กำเนิดเรา Flieนี้จะเป็นสื่อกลางให้การบอกรักแม่ให้ท่านได้รู้ว่าลูกคนนี้รักท่านเสมอและจะตลอดไป
คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลด
คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลด
Diary online
วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ หนูตั้งใจจะเอาMicrosoft Powerpointที่หนูตั้งใจทำไปให้แม่ของดิหนูดูแล้วหลังจากนั้นดิฉันจะทำอาหารให้แม่รับประทานเพราะตั้งแต่เล็กจนโต ท่านทำอาหารให้หนูรับประทานมาตลอด แค่อาหารมื้อหนึ่งมันคงน้อยเกินไปกับสิ่งที่แม่ทำให้กับดิหนูและหนูจะเอาดอกมะที่หนูทำเองไปติดที่หน้าอกของแม่พร้อมกับนำพวงมาลัยไปกราบท่านเช่นกัน แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นใจเพราะแม่ท่านต้องไปร่วมทำพิธีวันแม่ในฐานะข้าราขการและท่านต้องไปทำธุระที่หัวหิน หนูจึงทำได้เฉพาะบางอย่าง เช่น เอาMicrosoft Powerpointไปให้ท่านดูและกราบท่าน หนูเห็นบนหน้าแม่มีแต่รอยยิ้ม หนูเชื่อว่าท่านคงจะปลาบปลื้มกับสิ่งต่างๆที่ลูกได้ทำอย่างจริงใจในวันแม่ แต่เราทุกคนควรกระทำอย่างนี้ตลอดไป ไม่ใช่ทำเฉพาะวันสำคัญเท่านั้น
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้เป็นวันที่ดิฉันมีความสุขอีกวันหนึ่งเพราะวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันแม่แล้ว ดิฉันมีความตั้งใจว่าวันนี้จะทำ Microsoft PowerPointให้เสร็จทันในวันพรุ่งนี้ เนื้อหาภายในMicrosoft PowerPointจะเป็นความรู้สึกดีที่มีต่อแม่ คำสารภาพผิดและบทกลอนสำหรับแม่ ดิฉันใช้เวลาหลังจากกลับมาจากโรงเรียนในการทำMicrosoft PowerPoint ถึงใครจะมองว่ามันไม่สวยมากนัก ไม่มีความทันสมัยหรูหรา แต่ดิฉันเชื่อว่าแม่ทุกคนเมื่อได้เห็นความตั้งใจของลูกแล้ว ท่านคงอดชื่นชมและภูมิใจไม่ได้และท่านก็คงจะรับรู้ถึงความตั้งใจจริงของลูกท่านได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำดีกับแม่เฉพาะวันนี้ แต่ควรจะกระทำให้เป็นนิสัยตลอดไป
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้ก็เป็นวันที่สิ้นสุดเวลาของความสุข เพราะหลังจากวันนี้จะเป็นวันวันจันทร์ซึ่งถ้าใครเป็นนักเรียนอยู่ก็ต้องไปโรงเรียนเพื่อศึกษาหาความรู้แล้วนำมาความรู้มาพัฒนาปตระเทศและข้าพเจ้าก็เป็นคนคนหนึ่งที่ต้องการให้ประเทศดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นข้าพเจ้าก็ไปโรงเรียนเหมือนกับคนทั่วไป ข้าพเจ้าคิดว่าสัปดาห์หน้าข้าพเจ้าก็คงจะรู้คะแนนที่สอบไปในการสอบกลางภาคทั้งหมด ข้าพเจ้ากลัวว่าคะแนนที่ออกมาจะไม่ดีเท่าที่ข้าพเจ้าหวังไว้แต่ในการสอบแต่ละครั้งข้าพเจ้าก็ตั้งใจทำข้อสอบเต็มความสามารถของข้าพเจ้า คุณแม่ของข้าพเจ้าเคยบอกและให้กำลังใจกับข้าพเจ้าว่า ถ้าลูกทำสิ่งใดอย่างเต็มความสามารถของลูกแล้วไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ลูกก็ควรพอใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งถ้าผลออกมาแล้วไม่เป็นที่พอใจลูกก็ตั้งใจทำสิ่งนั้นๆใหม่ให้ดีขึ้น ถึงตอนนี้แล้วเวลาที่ข้าพเจ้าเครียดเกี่ยวกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วข้าพเจ้าก็จะนึกถึงคำสอนของคุณแม่แวความกังวลก็จะหายไปหมดและเปลี่ยนเป็นกำลังใจขึ้นมาแทน
Diary online
ถึงวันนี้จะเป็นวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่หยุดพักผ่อนหลังจากที่ต้องทำกิจกรรมต่างๆที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งสัปดาห์และสำหรับข้าพเจ้าสัปดาห์นี้ก็เป็นอีกสัปดาห์หนึ่งที่โหดร้ายมากๆ เพราะนอกจากจะมีการสอบกลางภาคในวันอังคาร วันพฤหัสบดีและวันศุกร์แล้วในวันเสาร์ข้าพเจ้ายังต้องไปทำกิจกรรมเกี่ยวกับวิชาเพิ่มพูนประสบการณ์(พปส.)ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีในกลุ่มวิชาเคมีอีกด้วย ในตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่าการทดลองจะไม่สนุกและยังทำให้เหนื่อยอีก แต่เมื่อได้ไปทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีความสนุก ในการเรียนรู้ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยที่ผ่านมาหายไปและถือได้ว่าเป็นการพักผ่อนอีกแบบหนึ่งที่ได้ความรู้และความสนุกสนานคู่กันไปวันนี้ข้าพเจ้ามีความสุขมากๆที่ได้ฟังการบรรยายการทดลองแบบต่างๆที่ใช้ในการแยกสาร อาทิ การกลั่น การกรอง การสกัดโดยใช้ซอกเลต รวมไปถึงการทำการรู้จัดกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง แต่ที่สำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขคือการที่ได้ลงมือปฏิบัติหรือลงมือทำการทดลองในเรื่อง การสกัดสารคาเฟอีน ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้กระทำในวันนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่สามารถกระทำได้บ่อยๆและประสบการณ์นี้จะทำให้ข้าพเจ้าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เหนื่อยมากๆๆตอนเรียนวิชาสังคมศึกษา(คาบเรียนที่ 3)รู้สึกได้เลยว่าเหนื่อยจนแทบจะไม่มีแรงทำสิ่งใดทั้งนั้น
แต่ไม่ว่าเราจะเหนื่อยเพียงใดเราก็ต้องตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตที่ดีของเราเองและเพื่ออนาคตที่ดีของประเทศชาติด้วย ถ้าลูกมีความตั้งใจเรียนพ่อแม่ก็จะมีความภูมิใจ ไม่ว่าลูกจะเรียนเก่งหรือไม่ก็ตาม ความหวังสูงสุดของผู้เป็ํนพ่อแม่คือการที่ลูกเป็นคนดีของสังคมและประสบความสำเร็จในชีวิต ท่านไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเราเลยมีแต่เราที่เรียกร้องอยากได้นู้น อยากได้นี้และท่านก็จะสรรหามาให้เราได้ทุกอย่าง ยามเราท้อแท้ท่านก็จะคอยเป็นกำลังใจให้เราต่อสู้ต่อไป ยามเราเจ็บป่วยท่านจะคอยมาเช็ดตัว ดูแลเรื่องอาหารและยาให้เรา ถึงบางคนจะบอกว่าเรายังเด็กอยู่ไม่สามารถหาเงินมาเลี้ยงดูท่านได้นั้นเป็นความคิดที่ผิดเพราะการที่เราทำตัวเป็นเด็กที่น่ารักของท่านก็เท่ากับว่าเราไม่ได้เพิ่มความกังวลใจให้กับท่านและสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ทุกคน ในวันนี้ถ้าพ่อแม่ของใครยังมีชีวิตอยู่ ก็ขอให้เราทำดีกับท่านก่อนที่ท่านจะไม่ได้เห็นการทำดีของเรา ส่วนถ้าพ่อแม่ของใครไม่ได้อยู่แล้ว เราอย่าเพิ่งเลิกทำความดีเพราะท่านจะมองความดี่ที่เราทำตลอด เราอาจสัมผัสด้วยกายไม่ได้แต่เราสามารถใช้สัมผัสได้
ู
แต่ไม่ว่าเราจะเหนื่อยเพียงใดเราก็ต้องตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตที่ดีของเราเองและเพื่ออนาคตที่ดีของประเทศชาติด้วย ถ้าลูกมีความตั้งใจเรียนพ่อแม่ก็จะมีความภูมิใจ ไม่ว่าลูกจะเรียนเก่งหรือไม่ก็ตาม ความหวังสูงสุดของผู้เป็ํนพ่อแม่คือการที่ลูกเป็นคนดีของสังคมและประสบความสำเร็จในชีวิต ท่านไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเราเลยมีแต่เราที่เรียกร้องอยากได้นู้น อยากได้นี้และท่านก็จะสรรหามาให้เราได้ทุกอย่าง ยามเราท้อแท้ท่านก็จะคอยเป็นกำลังใจให้เราต่อสู้ต่อไป ยามเราเจ็บป่วยท่านจะคอยมาเช็ดตัว ดูแลเรื่องอาหารและยาให้เรา ถึงบางคนจะบอกว่าเรายังเด็กอยู่ไม่สามารถหาเงินมาเลี้ยงดูท่านได้นั้นเป็นความคิดที่ผิดเพราะการที่เราทำตัวเป็นเด็กที่น่ารักของท่านก็เท่ากับว่าเราไม่ได้เพิ่มความกังวลใจให้กับท่านและสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ทุกคน ในวันนี้ถ้าพ่อแม่ของใครยังมีชีวิตอยู่ ก็ขอให้เราทำดีกับท่านก่อนที่ท่านจะไม่ได้เห็นการทำดีของเรา ส่วนถ้าพ่อแม่ของใครไม่ได้อยู่แล้ว เราอย่าเพิ่งเลิกทำความดีเพราะท่านจะมองความดี่ที่เราทำตลอด เราอาจสัมผัสด้วยกายไม่ได้แต่เราสามารถใช้สัมผัสได้
ู
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Diary online
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลได้ประกาศให้บุคคลที่เป็นไข้หวัดตามฤดูกาลหรือไข้หวัดที่ฮิตกันในขณะนี้คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ให้หยุดเรียนหรือหยุดทำงาน เพราะถ้าไม่หยุดเรียนหรือหยุดทำงานก็จะเป็นการแพร่เชื้อโรคให้กับบุคคลที่ไม่ได้รับเชื้อไข้หวัดและไม่สามารถหยุดยับยั้งเชื้อให้หายขาดได้ ด้วยเหตุนี้เองทางโรงเรียนจึงได้ประกาศให้นักเรียนที่เป็นไข้หวัดตามฤดูกาลหรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้หยุดเรียนเพื่อตอบสนองตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการยับยั้งเชื้อไข้หวัด และบอกให้สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ของการไม่มีการสอบใดๆทั้งสิ้น ซึ่งก็เป็นผลให้สัปดาห์นี้มีการสอบทุกวันและเกือบจะทุกคาบที่มีการเรียนการสอน ผลที่ได้รับก็จะตกอยู่กับนักเรียนที่จะต้องอ่านหนังสือ และในการอ่านหนังสือนักเรียนไม่ได้อ่านหนังสือแบบเข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่อ่านหนังสือแบบเข้าใจอย่างงูๆปลาๆ พอที่จะให้การสอบในครั้งหนึ่งๆผ่านไปได้ด้วยคะแนนที่ดี ไม่มีความรู้ใดๆเหลือหลังจากการสอบผ่านไป
มันคงไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอนที่นักเรียนไม่มีความรู้หรือตะกอนควานรู้เหลือ เพียงแค่มีความรู้ในตอนที่นักเรียนจะใช้ในการสอบเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามสุขภาพย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ดังคำที่ว่า " การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ " เพราะถ้าเราไม่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่ว่าเราจะมีความรู้หรือความพร้อมในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมกระทำได้อย่างไม่เต็มความสามารถของเรา ทำให้ผลที่ออกในบางครั้งอาจไม่เป็นที่พอใจของเราเสียด้วยซ้ำไป
มันคงไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอนที่นักเรียนไม่มีความรู้หรือตะกอนควานรู้เหลือ เพียงแค่มีความรู้ในตอนที่นักเรียนจะใช้ในการสอบเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามสุขภาพย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ดังคำที่ว่า " การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ " เพราะถ้าเราไม่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่ว่าเราจะมีความรู้หรือความพร้อมในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมกระทำได้อย่างไม่เต็มความสามารถของเรา ทำให้ผลที่ออกในบางครั้งอาจไม่เป็นที่พอใจของเราเสียด้วยซ้ำไป
วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Diary online
วันนี้อากาศดีจัง ฝนตกและมีไอความเย็นของฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้ากระทบกับร่างกายทำให้บรรยากาศชวนนอนหลับ ถ้าสำหรับคนอื่นอาจจะใช่ แต่คงไม่ใช่ข้าพเจ้าอย่างแน่นอน เนื่องจากเมื่อวันศุกร์คาบ สุดท้าย ข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมชะตาชีวิตได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่คือ ให้วิ่งทดสอบสมรรถภาพร่างกาย 2 รอบโรงเรียน ข้าพเจ้าวิ่งใช้เวลา 6.40 นาที ตอนเย็นวันนั้นข้าพเจ้ายังไม่มีอาการแต่อย่างใด แต่ว่าวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้ามีอาการปวดเมื่อยตามตัวและมี่อาการเหมือนเป็นไข้ ไม่มีแรงจะทำอะไร นอนซมทั้งวัน อาจเป็นเพราะเมื่อวันศุกร์ฝนตกเป็นละอองอ่อนๆทำให้ข้าพเจ้าไม่สบาย เมื่อไปหาหมอ หมอบอกว่า เป็นไข้หวัดธรรมดาไม่ใช่ไข้หวัดสายพันธ์ใหม่2009 ข้าพเจ้าดีใจมากที่เป็นแค่ไข้หวักธรรมดาเมื่อกลับมาถึงบ้านข้าพเจ้าก็นอนทั้งวัน เพราะมีอาการปวดศีรษะ มึนงง เป็นเวลา 3 วัน ถึงข้าพเจ้าจะป่วยจนไม่อยากลุกเดินไปไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นได้จากการป่วยครั้งนี้ก็คือ ความรักที่คุณแม่มีให้กับข้าพเจ้าอย่างมาก มายมหาศาล ท่านคอยดูแลข้าพเจ้าจนข้าพเจ้าหายดีเป็นปกติ เมื่อมาถึงวันที่ข้าพเจ้าหายเป็นปกติแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องพบกับอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่คือ การบ้านที่กองเป็นภูเขาตลอดเวลา 5 วันที่โรงเรียนหยุด ตอนนี้ข้าพเจ้าได้ทำการบ้านเสร็จแล้วโดยใช้เวลาทำอย่างรวดเร็วเพราะการบ้านเยอะมาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)